กระดูกข้อมือหักในผู้สูงอายุ (Colles' fracture) – Update
- โดย ชฎาวีณ์ ไชยภูริพัฒน์ และ นพ. ธัชชัย วิจารณ์
- 9 สิงหาคม 2568
- Tweet
สารบัญ
- เกริ่นนำ (Introduction)
- สาเหตุ (Causes)
- การวินิจฉัย (Diagnosis)
- การจำแนกประเภท (Classification)
- การรักษา (Treatment)
- พยากรณ์โรค (Prognosis)
- ระบาดวิทยา (Epidemiology)
- ประวัติ (History)
เกริ่นนำ
Colles' fracture คือการแตกหักของกระดูกปลายแขนส่วนปลาย โดยที่ปลายกระดูกเรเดียสหักและงอไปด้านหลัง ทำให้มีอาการปวด บวม รูปร่างผิดปกติ และมีรอยช้ำ ภาวะแทรกซ้อนอาจทำให้เส้นประสาทมีเดียนได้รับความเสียหาย
โดยทั่วไป Colles' fracture เกิดจากการล้มลงโดยใช้มือที่เหยียดออกในการรองรับแรงกระแทก ปัจจัยเสี่ยง รวมถึงภาวะกระดูกพรุน ซึ่งเพิ่มโอกาสให้เกิดกระดูกหัก การวินิจฉัยสามารถยืนยันได้โดยการตรวจ X-ray อาจพบร่วมกับการแตกหักของปลายกระดูกอัลนา
การรักษาอาจประกอบด้วยการใส่เฝือกหรือการผ่าตัด การจัดกระดูกและใส่เฝือกสามารถทำได้ในกรณีส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี การบรรเทาอาการปวดสามารถทำได้ระหว่างกระบวนการจัดกระดูกด้วยการให้ยากล่อมประสาทและยาแก้ปวด หรือการฉีดยาบล็อกบริเวณก้อนเลือด ระยะเวลาการฟื้นตัวอาจใช้เวลาหนึ่งถึงสองปีในการหายอย่างสมบูรณ์
ประมาณ 15% ของประชากรเคยมีอาการ Colles' fracture อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต พบบ่อยในผู้ใหญ่ตอนต้นและผู้สูงอายุมากกว่ากลุ่มเด็กและผู้ใหญ่วัยกลางคน ผู้หญิงมีความเสี่ยงมากกว่า พบว่าผู้หญิงได้รับผลกระทบบ่อยกว่าผู้ชาย ที่มาของชื่อตั้งชื่อตาม Abraham Colles ผู้ที่อธิบายลักษณะการแตกหักนี้ครั้งแรกในปี 1814

สาเหตุ
สาเหตุของ Colles' fracture มักเกิดจากการล้มลงบนพื้นแข็งและใช้มือที่เหยียดออกเพื่อรองรับแรงกระแทก (FOOSH - Fall On Outstretched Hand) แต่ Smith's fracture จะเกิดขึ้นหากล้มโดยที่ข้อมืออยู่ในท่าก้ม การอธิบายครั้งแรกพบในผู้สูงอายุและ/หรือสตรีวัยหมดประจำเดือน ตำแหน่งการแตกหักมักเกิดขึ้นประมาณ 3–5 เซนติเมตร เหนือข้อต่อเรดิโอคาร์พาล โดยมีการเคลื่อนตัวของกระดูกส่วนปลายไปทางด้านหลังและด้านข้างก่อให้เกิดลักษณะเฉพาะของความผิดรูปแบบ “Dinner fork" หรือ “Bayonet” Colles' fracture เป็นการแตกหักของกระดูกที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน โดยเป็นประเภทที่พบมากที่สุดรองจากการแตกหักของกระดูกสันหลัง
การวินิจฉัย
การวินิจฉัย สามารถทำได้โดยการแปลผลภาพ X-ray มุมมอง Anteroposterior และ Lateral เท่านั้น
ลักษณะเฉพาะของ Colles' fracture
- การแตกหักแบบขวาง (Transverse fracture) ของกระดูกเรเดียส
- เกิดขึ้นที่ 5 ซม. (0.98 นิ้ว) เหนือข้อต่อเรดิโอคาร์พาล
- มีการเคลื่อนตัวไปทางด้านหลัง (Dorsal displacement) และเกิดมุมเอียงด้านหลัง (dorsal angulation) พร้อมกับการเอียงของกระดูกเรเดียส (radial tilt)
ลักษณะอื่น ๆ ที่อาจพบร่วมกัน
- กระดูกเรเดียสสั้นลง (Radial shortening)
- สูญเสียมุมเอียงของกระดูกอัลนา (Loss of ulnar inclination)
- การเอียงของข้อมือไปทางกระดูกเรเดียส (Radial angulation of the wrist)
- มีการแตกหักแบบแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ (Comminution) ที่ตำแหน่งแตกหัก
- พบการแตกหักของกระดูกปลายอัลนา (Ulnar styloid process) ในกว่า 60% ของกรณี
การจำแนกประเภท
คำว่า Colles fracture แต่เดิมใช้เพื่ออธิบายกระดูกหักที่ปลายด้านล่างของกระดูกเรเดียส (Radius) บริเวณรอยต่อระหว่างกระดูกแข็งและกระดูกพรุน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคำนี้มักถูกใช้ในวงกว้างเพื่ออธิบายการแตกหักของกระดูกเรเดียสส่วนปลายโดยไม่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของกระดูกอัลนา (Ulna) ตราบเท่าที่มีการเคลื่อนตัวของเศษกระดูกไปทางด้านหลัง
Colles เองได้อธิบายว่าเป็นกระดูกหักที่ “เกิดขึ้นประมาณ 1.5 นิ้ว (38 มม.) เหนือปลายด้านล่างของกระดูกเรเดียส” และ “กระดูกข้อมือกับฐานของกระดูกฝ่ามือดูเหมือนจะถูกผลักไปทางด้านหลัง” การแตกหักนี้บางครั้งถูกเรียกว่า การผิดรูปแบบ “Dinner fork” หรือ “Bayonet” เนื่องจากรูปร่างของปลายแขนที่ผิดรูปหลังเกิดการแตกหัก
กระดูกหักแบบ Colles' fracture สามารถถูกจัดประเภทตามหลายระบบ เช่น
-
- Frykman
- Gartland & Werley
- Lidström
- Nissen-Lie
- การจำแนกประเภทของ Older
แต่ละระบบมีเกณฑ์การจำแนกที่แตกต่างกัน โดยพิจารณาจากลักษณะของการแตกหัก ระดับความรุนแรง และการมีส่วนร่วมของกระดูกส่วนอื่น ๆ ในข้อมือ
การรักษา
การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการแตกหัก กระดูกหักที่ไม่มีการเคลื่อนที่อาจรักษาได้ด้วยการใส่เฝือกเพียงอย่างเดียว เฝือกจะถูกใส่โดยให้ชิ้นส่วนกระดูกส่วนปลายงุ้มไปทางฝ่ามือและเบี่ยงไปทางกระดูกอัลนา (Ulnar deviation) การแตกหักที่มีการทำมุม (Angulation) และการเคลื่อนที่เล็กน้อยอาจจำเป็นต้องจัดกระดูกให้เข้าที่แบบปิด (Closed reduction) มีหลักฐานบางชิ้นชี้ว่าการตรึงข้อมือให้อยู่ในท่างอขึ้น (Dorsiflexion) แทนที่จะเป็นท่างุ้มลงทางฝ่ามือ (Palmar flexion) ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนที่ซ้ำน้อยกว่าและมีสถานะการทำงานที่ดีขึ้น การทำมุมและความผิดรูปที่สำคัญอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อจัดกระดูกให้เข้าที่และใส่เหล็กดามภายใน (Open reduction and internal fixation) หรือใส่เครื่องยึดตรึงภายนอก (External fixation) เฝือกอ่อนบริเวณด้านหน้าแขนท่อนปลาย (Volar forearm splint) เหมาะสมที่สุดสำหรับการตรึงชั่วคราวของการแตกหักบริเวณแขนท่อนปลาย ข้อมือ และมือ รวมถึงการแตกหักแบบ Colles [ต้องการอ้างอิง] มีเกณฑ์ความไม่มั่นคงที่ยอมรับกันหลายประการ: [ต้องการอ้างอิง] มุมเงยด้านหลัง (Dorsal tilt) มากกว่า 20°, การแตกหักแบบหลายชิ้น (Comminuted fracture), การแตกหักของส่วนปลายกระดูกอัลนา (Abruption of the ulnar styloid process), การเคลื่อนที่ภายในข้อมากกว่า 1 มิลลิเมตร, การสูญเสียความสูงของกระดูกเรเดียสมากกว่า 2 มิลลิเมตร
เกณฑ์ความไม่มั่นคงที่มากขึ้นจะเพิ่มโอกาสในการรักษาด้วยการผ่าตัด
วิธีการรักษามีความแตกต่างกันในผู้สูงอายุ
แนะนำให้ทำการเอกซเรย์ซ้ำที่หนึ่ง สอง และหกสัปดาห์เพื่อตรวจสอบการสมานของกระดูกที่เหมาะสม
พยากรณ์โรค
ระยะเวลาการฟื้นตัวขึ้นอยู่กับระดับการเคลื่อนของกระดูก จำนวนชิ้นส่วนของกระดูกที่แตกหัก การแตกหักนั้นเป็นแบบ "ในข้อ" (Intra-articular) (เกี่ยวข้องกับข้อต่อข้อมือ) หรือไม่ รวมถึงอายุ เพศ และโรคประจำตัวของผู้ป่วย และอาจใช้ระยะเวลาตั้งแต่สองเดือนถึงหนึ่งปีหรือมากกว่านั้นสำหรับการฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์
ระบาดวิทยา
การแตกหักแบบ Colles เกิดขึ้นได้ในทุกกลุ่มอายุ แม้ว่ารูปแบบบางอย่างจะมีการกระจายตามอายุ [ต้องการอ้างอิง]
- ในผู้สูงอายุ เนื่องด้วยเปลือกกระดูก (Cortex) ที่อ่อนแอกว่า การแตกหักจึงมักจะอยู่นอกข้อ (Extra-articular) มากกว่า
- ในผู้ที่อายุน้อยกว่ามักจะต้องใช้แรงพลังงานที่สูงกว่าในการทำให้เกิดการแตกหัก และมักจะมีการแตกหักในข้อ (Intra-articular) ที่ซับซ้อนกว่า ในเด็กที่แผ่นสร้างกระดูก (Epiphyses) ยังเปิดอยู่ การแตกหักที่เทียบเท่ากันคือ "การเคลื่อนของแผ่นสร้างกระดูก" (Epiphyseal slip) ดังที่สามารถพบได้ในข้อต่ออื่นๆ เช่น การเคลื่อนของหัวกระดูกต้นขาส่วนสร้างกระดูก (Slipped capital femoral epiphysis) ที่สะโพก นี่คือการแตกหักแบบ Salter I หรือ II โดยมีแรงที่ทำให้ผิดรูปส่งผ่านแผ่นสร้างกระดูกที่อ่อนแอกว่า
- พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าเนื่องจากภาวะกระดูกพรุนหลังหมดประจำเดือน
ประวัติ
ชื่อ Colles fracture (การแตกหักแบบ Colles) ตั้งตามชื่อของ Abraham Colles (ค.ศ. 1773–1843) ศัลยแพทย์ชาวไอริชจากเมือง Kilkenny ผู้ซึ่งบรรยายลักษณะของมันเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1814 เพียงแค่สังเกตจากลักษณะความผิดรูปที่เป็นแบบฉบับก่อนที่จะมีการใช้รังสีเอกซ์ Ernest Amory Codman เป็นบุคคลแรกที่ศึกษาการแตกหักนี้โดยใช้รังสีเอกซ์ บทความของเขาซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Boston Medical and Surgical Journal ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ The New England Journal of Medicine ยังได้พัฒนาระบบการจำแนกประเภทของการแตกหักนี้ด้วย
บางครั้ง มีการกล่าวว่า Claude Pouteau เป็นคนแรกที่บรรยายลักษณะการแตกหักแบบ Colles (ซึ่งบางครั้งเรียกว่าการแตกหักแบบ Pouteau-Colles) แต่ตามข้อมูลของ P. Liverneaux นั้น ไม่เป็นความจริง
แปลและเรียบเรียงจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Colles%27_fracture [2025, August 9] โดย ชฏาวีณ์ ไชยภูริพัฒน์
อ่านตรวจทาน โดย นพ. ธัชชัย วิจารณ์