logo

คำถามเกี่ยวกับยา

โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล

เรื่อง : เมอร์เเคปโตพิวรีน (6MP)

ยาเมอร์แคปโตพิวรีน (Mercaptopurine) หรือ 6-Mercaptopurine หรือย่อว่า 6MP เป็นยาเคมีบำบัดกลุ่ม Antimetabolite ซึ่งมีกลไกต้านมะเร็งโดยออกฤทธิ์ต้านการสังเคราะห์สารพันธุกรรมชนิดดีเอ็นเอ (DNA) และชนิดอาร์เอ็นเอ (RNA) ของเซลล์มะเร็ง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้ดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอของเซลล์มะเร็งแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนต่อไปอีกไม่ได้ เนื่องจากยาเมอร์แคปโตพิวลีนทำการยับยั้งการสังเคราะห์สารพันธุกรรมดังกล่าวของเซลล์มะเร็ง

ยาเมอร์แคปโตพิวรีนใช้รักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันทั้งชนิด Acute lymphoblastic leukemia/Acute lumpho cytic leukemia/ALL และชนิด Acute myelogenous leukemia/AML โดยมีผลกดไขกระดูก/กดการทำงานของไขกระดูกอย่างชัดเจน ซึ่งการใช้ยานี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น

  • การกดไขกระดูก (Bone Marrow Suppression): ส่งผลทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ โลหิตจาง และเกล็ดเลือดต่ำ จึงเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อโรค ภาวะซีดทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และเลือดออกผิดปกติได้ง่าย
  • ภาวะพิษต่อตับ: เช่น ตับอักเสบ ภาวะน้ำดีคั่งในตับ (Cholestasis) และเนื้อเยื่อตับตายเน่า (Hepatic gangrene)
  • อาการของระบบทางเดินอาหาร: เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร เยื่อบุในปากอักเสบ
  • อาการทางระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค: เช่น การปวดข้อ เป็นไข้ ใบหน้าบวม
  • อาการทางผิวหนัง: เช่น เกิดผื่นแดง คัน ผิวหนังเปลี่ยนสีเป็นสีเข้มมากขึ้น ผมร่วง
  • อื่นๆ: มีรายงานภาวะจำนวนตัวอสุจิในน้ำอสุจิน้อยกว่าปกติ
  • ยานี้อาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น
  • ยาเมอร์แคปโตพิวรีนเป็นยาเคมีบำบัด เพื่อลดความเสี่ยงในการที่ยาจะสัมผัสกับผิวหนังจึงจำเป็นต้องใช้ยานี้ด้วยความระมัดระวัง ให้รับประทานยานี้ทั้งเม็ด ห้ามบด หรือแบ่งยาโดยเด็ดขาด เนื่องจากยาดังกล่าวเป็นยาเคมีบำบัด การบด การแบ่งยานี้อาจทำให้เกิดการสัมผัสยาเคมีบำบัดที่อาจฟุ้งกระจายเข้าสู่ร่างกายได้หลังการบดแบ่ง และแนะนำให้สวมถุงมือยางสำหรับการตรวจโรคทุกครั้งก่อนหยิบยานี้ และรีบถอดถุงมือออกแล้วล้างมือทันทีหลังรับประทานยานี้เสร็จ
  • ยาเมอร์แคปโตพิวรีนมีผลพิษต่อตับ ควรติดตามค่าการทำงานของตับทุกสัปดาห์ตามแพทย์แนะนำช่วงที่ผู้ป่วยได้รับยา หรือติดตามบ่อยขึ้นกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาโรคตับอยู่ก่อน และแพทย์จะพิจารณาหยุดยานี้ทันทีเมื่อผู้ป่วยเกิดอาการดีซ่าน
  • ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเมอร์แคปโตพิวรีนในช่วงกำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากยานี้มีผลพิษต่อทารกในครรภ์อาจก่อให้ทารกเกิดความพิการขึ้นได้ และหากอยู่ในช่วงให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการให้นมบุตร เพราะยานี้ถูกขับออกทางน้ำนม อาจก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์รุนแรงแก่บุตรได้ ควรหยุดให้นมบุตรหากมารดากำลังได้รับยานี้อยู่ หรือหยุดการใช้ยานี้ในช่วงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของมารดาต่อภาวะที่กำลังเป็นอยู่โดยควรอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
  • ยาเมอร์แคปโตพิวรีนทำให้เกิดการกดไขกระดูกอย่างรุนแรงโดยทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง จำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังการติดเชื้อรวมถึงภาวะเลือดออกง่ายในอวัยวะต่างๆ
  • ผู้ป่วยที่มีประวัติโรคขาดเอนไซม์ไทโอพิวลีน เมทิวทรานส์เฟอเรส (Thiopurine methyltransferase; TPMT) มาแต่กำเนิดนั้นต้องระวังการใช้ยาเมอร์แคปโตพิวลีน เนื่องจากยาถูกขจัดออกทางร่างกายโดยอาศัยเอนไซม์ไทโอพิวลีน เมทิวทรานส์เฟอเรส ดังนั้นหากผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเดิมขาดเอนไซม์ดังกล่าวอาจเกิดภาวะกดไขกระดูกอย่างรวดเร็วหลังใช้ยานี้
  • ระวังการใช้ยาเมอร์แคปโตพิวรีนร่วมกับยาชนิดอื่นๆที่มีผลยับยั้งเอนไซม์ไทโอพิวลีน เมทิวทรานส์ เฟอเรส (Thiopurine methyltransferase; TPMT) เพราะอาจเกิดความเป็นพิษที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นจากยาเมอร์แคปโตพิวรีน
  • ในช่วงการรักษาด้วยยาเมอร์แคปโตพิวรีนจะส่งผลต่อการสลายตัวของเซลล์ (Cell lysis) อย่างรวดเร็ว แพทย์จะตรวจวัดระดับกรดยูริคในเลือดและในปัสสาวะเพราะอาจเกิดภาวะกรดยูริคเกินในเลือดหรือในปัสสาวะซึ่งส่งผลพิษต่อไต