กระดูกข้อมือหักในผู้สูงอายุ (Colles' fracture) – Update

สารบัญ

  • เกริ่นนำ (Introduction)
  • สาเหตุ (Causes)
  • การวินิจฉัย (Diagnosis)
    • การจำแนกประเภท (Classification)
  • การรักษา (Treatment)
  • พยากรณ์โรค (Prognosis)
  • ระบาดวิทยา (Epidemiology)
  • ประวัติ (History)

เกริ่นนำ

Colles' fracture คือการแตกหักของกระดูกปลายแขนส่วนปลาย โดยที่ปลายกระดูกเรเดียสหักและงอไปด้านหลัง ทำให้มีอาการปวด บวม รูปร่างผิดปกติ และมีรอยช้ำ ภาวะแทรกซ้อนอาจทำให้เส้นประสาทมีเดียนได้รับความเสียหาย 

โดยทั่วไป Colles' fracture เกิดจากการล้มลงโดยใช้มือที่เหยียดออกในการรองรับแรงกระแทก  ปัจจัยเสี่ยง รวมถึงภาวะกระดูกพรุน ซึ่งเพิ่มโอกาสให้เกิดกระดูกหัก  การวินิจฉัยสามารถยืนยันได้โดยการตรวจ X-ray  อาจพบร่วมกับการแตกหักของปลายกระดูกอัลนา 

การรักษาอาจประกอบด้วยการใส่เฝือกหรือการผ่าตัด  การจัดกระดูกและใส่เฝือกสามารถทำได้ในกรณีส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี  การบรรเทาอาการปวดสามารถทำได้ระหว่างกระบวนการจัดกระดูกด้วยการให้ยากล่อมประสาทและยาแก้ปวด หรือการฉีดยาบล็อกบริเวณก้อนเลือด  ระยะเวลาการฟื้นตัวอาจใช้เวลาหนึ่งถึงสองปีในการหายอย่างสมบูรณ์ 

ประมาณ 15% ของประชากรเคยมีอาการ Colles' fracture อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต  พบบ่อยในผู้ใหญ่ตอนต้นและผู้สูงอายุมากกว่ากลุ่มเด็กและผู้ใหญ่วัยกลางคน  ผู้หญิงมีความเสี่ยงมากกว่า พบว่าผู้หญิงได้รับผลกระทบบ่อยกว่าผู้ชาย  ที่มาของชื่อตั้งชื่อตาม Abraham Colles ผู้ที่อธิบายลักษณะการแตกหักนี้ครั้งแรกในปี 1814 

สาเหตุ

สาเหตุของ Colles' fracture มักเกิดจากการล้มลงบนพื้นแข็งและใช้มือที่เหยียดออกเพื่อรองรับแรงกระแทก (FOOSH - Fall On Outstretched Hand)  แต่ Smith's fracture จะเกิดขึ้นหากล้มโดยที่ข้อมืออยู่ในท่าก้ม  การอธิบายครั้งแรกพบในผู้สูงอายุและ/หรือสตรีวัยหมดประจำเดือน  ตำแหน่งการแตกหักมักเกิดขึ้นประมาณ 3–5 เซนติเมตร เหนือข้อต่อเรดิโอคาร์พาล โดยมีการเคลื่อนตัวของกระดูกส่วนปลายไปทางด้านหลังและด้านข้างก่อให้เกิดลักษณะเฉพาะของความผิดรูปแบบ “Dinner fork" หรือ “Bayonet”  Colles' fracture เป็นการแตกหักของกระดูกที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน โดยเป็นประเภทที่พบมากที่สุดรองจากการแตกหักของกระดูกสันหลัง

การวินิจฉัย

การวินิจฉัย สามารถทำได้โดยการแปลผลภาพ X-ray มุมมอง Anteroposterior และ Lateral เท่านั้น 

ลักษณะเฉพาะของ Colles' fracture 

  • การแตกหักแบบขวาง (Transverse fracture) ของกระดูกเรเดียส
  • เกิดขึ้นที่ 5 ซม. (0.98 นิ้ว) เหนือข้อต่อเรดิโอคาร์พาล
  • มีการเคลื่อนตัวไปทางด้านหลัง (Dorsal displacement) และเกิดมุมเอียงด้านหลัง (dorsal angulation) พร้อมกับการเอียงของกระดูกเรเดียส (radial tilt)

ลักษณะอื่น ๆ ที่อาจพบร่วมกัน

  • กระดูกเรเดียสสั้นลง (Radial shortening)
  • สูญเสียมุมเอียงของกระดูกอัลนา (Loss of ulnar inclination)
  • การเอียงของข้อมือไปทางกระดูกเรเดียส (Radial angulation of the wrist)
  • มีการแตกหักแบบแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ (Comminution) ที่ตำแหน่งแตกหัก
  • พบการแตกหักของกระดูกปลายอัลนา (Ulnar styloid process) ในกว่า 60% ของกรณี

การจำแนกประเภท

คำว่า Colles fracture แต่เดิมใช้เพื่ออธิบายกระดูกหักที่ปลายด้านล่างของกระดูกเรเดียส (Radius) บริเวณรอยต่อระหว่างกระดูกแข็งและกระดูกพรุน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคำนี้มักถูกใช้ในวงกว้างเพื่ออธิบายการแตกหักของกระดูกเรเดียสส่วนปลายโดยไม่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของกระดูกอัลนา (Ulna) ตราบเท่าที่มีการเคลื่อนตัวของเศษกระดูกไปทางด้านหลัง

Colles เองได้อธิบายว่าเป็นกระดูกหักที่ “เกิดขึ้นประมาณ 1.5 นิ้ว (38 มม.) เหนือปลายด้านล่างของกระดูกเรเดียส” และ “กระดูกข้อมือกับฐานของกระดูกฝ่ามือดูเหมือนจะถูกผลักไปทางด้านหลัง”  การแตกหักนี้บางครั้งถูกเรียกว่า การผิดรูปแบบ “Dinner fork” หรือ “Bayonet” เนื่องจากรูปร่างของปลายแขนที่ผิดรูปหลังเกิดการแตกหัก

กระดูกหักแบบ Colles' fracture สามารถถูกจัดประเภทตามหลายระบบ เช่น 

    • Frykman
    • Gartland & Werley
    • Lidström
    • Nissen-Lie
    • การจำแนกประเภทของ Older

แต่ละระบบมีเกณฑ์การจำแนกที่แตกต่างกัน โดยพิจารณาจากลักษณะของการแตกหัก ระดับความรุนแรง และการมีส่วนร่วมของกระดูกส่วนอื่น ๆ ในข้อมือ

การรักษา

การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการแตกหัก  กระดูกหักที่ไม่มีการเคลื่อนที่อาจรักษาได้ด้วยการใส่เฝือกเพียงอย่างเดียว เฝือกจะถูกใส่โดยให้ชิ้นส่วนกระดูกส่วนปลายงุ้มไปทางฝ่ามือและเบี่ยงไปทางกระดูกอัลนา (Ulnar deviation) การแตกหักที่มีการทำมุม (Angulation) และการเคลื่อนที่เล็กน้อยอาจจำเป็นต้องจัดกระดูกให้เข้าที่แบบปิด (Closed reduction) มีหลักฐานบางชิ้นชี้ว่าการตรึงข้อมือให้อยู่ในท่างอขึ้น (Dorsiflexion) แทนที่จะเป็นท่างุ้มลงทางฝ่ามือ (Palmar flexion) ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนที่ซ้ำน้อยกว่าและมีสถานะการทำงานที่ดีขึ้น  การทำมุมและความผิดรูปที่สำคัญอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อจัดกระดูกให้เข้าที่และใส่เหล็กดามภายใน (Open reduction and internal fixation) หรือใส่เครื่องยึดตรึงภายนอก (External fixation) เฝือกอ่อนบริเวณด้านหน้าแขนท่อนปลาย (Volar forearm splint) เหมาะสมที่สุดสำหรับการตรึงชั่วคราวของการแตกหักบริเวณแขนท่อนปลาย ข้อมือ และมือ รวมถึงการแตกหักแบบ Colles [ต้องการอ้างอิง] มีเกณฑ์ความไม่มั่นคงที่ยอมรับกันหลายประการ: [ต้องการอ้างอิง] มุมเงยด้านหลัง (Dorsal tilt) มากกว่า 20°, การแตกหักแบบหลายชิ้น (Comminuted fracture), การแตกหักของส่วนปลายกระดูกอัลนา (Abruption of the ulnar styloid process), การเคลื่อนที่ภายในข้อมากกว่า 1 มิลลิเมตร, การสูญเสียความสูงของกระดูกเรเดียสมากกว่า 2 มิลลิเมตร

เกณฑ์ความไม่มั่นคงที่มากขึ้นจะเพิ่มโอกาสในการรักษาด้วยการผ่าตัด

วิธีการรักษามีความแตกต่างกันในผู้สูงอายุ

แนะนำให้ทำการเอกซเรย์ซ้ำที่หนึ่ง สอง และหกสัปดาห์เพื่อตรวจสอบการสมานของกระดูกที่เหมาะสม

พยากรณ์โรค

ระยะเวลาการฟื้นตัวขึ้นอยู่กับระดับการเคลื่อนของกระดูก จำนวนชิ้นส่วนของกระดูกที่แตกหัก การแตกหักนั้นเป็นแบบ "ในข้อ" (Intra-articular) (เกี่ยวข้องกับข้อต่อข้อมือ) หรือไม่ รวมถึงอายุ เพศ และโรคประจำตัวของผู้ป่วย และอาจใช้ระยะเวลาตั้งแต่สองเดือนถึงหนึ่งปีหรือมากกว่านั้นสำหรับการฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์

ระบาดวิทยา

การแตกหักแบบ Colles เกิดขึ้นได้ในทุกกลุ่มอายุ แม้ว่ารูปแบบบางอย่างจะมีการกระจายตามอายุ [ต้องการอ้างอิง]

  • ในผู้สูงอายุ เนื่องด้วยเปลือกกระดูก (Cortex) ที่อ่อนแอกว่า การแตกหักจึงมักจะอยู่นอกข้อ (Extra-articular) มากกว่า
  • ในผู้ที่อายุน้อยกว่ามักจะต้องใช้แรงพลังงานที่สูงกว่าในการทำให้เกิดการแตกหัก และมักจะมีการแตกหักในข้อ (Intra-articular) ที่ซับซ้อนกว่า ในเด็กที่แผ่นสร้างกระดูก (Epiphyses) ยังเปิดอยู่ การแตกหักที่เทียบเท่ากันคือ "การเคลื่อนของแผ่นสร้างกระดูก" (Epiphyseal slip) ดังที่สามารถพบได้ในข้อต่ออื่นๆ เช่น การเคลื่อนของหัวกระดูกต้นขาส่วนสร้างกระดูก (Slipped capital femoral epiphysis) ที่สะโพก นี่คือการแตกหักแบบ Salter I หรือ II โดยมีแรงที่ทำให้ผิดรูปส่งผ่านแผ่นสร้างกระดูกที่อ่อนแอกว่า
  • พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าเนื่องจากภาวะกระดูกพรุนหลังหมดประจำเดือน

ประวัติ

ชื่อ Colles fracture (การแตกหักแบบ Colles) ตั้งตามชื่อของ Abraham Colles (ค.ศ. 1773–1843) ศัลยแพทย์ชาวไอริชจากเมือง Kilkenny ผู้ซึ่งบรรยายลักษณะของมันเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1814 เพียงแค่สังเกตจากลักษณะความผิดรูปที่เป็นแบบฉบับก่อนที่จะมีการใช้รังสีเอกซ์  Ernest Amory Codman เป็นบุคคลแรกที่ศึกษาการแตกหักนี้โดยใช้รังสีเอกซ์ บทความของเขาซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Boston Medical and Surgical Journal ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ The New England Journal of Medicine ยังได้พัฒนาระบบการจำแนกประเภทของการแตกหักนี้ด้วย

บางครั้ง มีการกล่าวว่า Claude Pouteau เป็นคนแรกที่บรรยายลักษณะการแตกหักแบบ Colles (ซึ่งบางครั้งเรียกว่าการแตกหักแบบ Pouteau-Colles) แต่ตามข้อมูลของ P. Liverneaux นั้น ไม่เป็นความจริง

แปลและเรียบเรียงจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Colles%27_fracture [2025, August 9] โดย ชฏาวีณ์ ไชยภูริพัฒน์

อ่านตรวจทาน โดย นพ. ธัชชัย วิจารณ์