ขี้ลืม หลงลืม (Forgetfulness) – Update
- โดย ชฎาวีณ์ ไชยภูริพัฒน์ และ ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า
- 25 มิถุนายน 2568
- Tweet
สารบัญ
- เกริ่นนำ
- ภาพรวม
- ประวัติ
- การวัดผล
- การระลึก
- การระลึกอย่างอิสระและรูปแบบต่างๆ
- การระลึกแบบมีตัวช่วย
- วิธีการเรียนรู้ซ้ำ
- การจำได้
- ทฤษฎีต่างๆ
- การลืมที่ขึ้นอยู่กับตัวชี้นำ
- สาเหตุทางชีวภาพ
- ทฤษฎีการรบกวน
- ทฤษฎีการเสื่อมของร่องรอยความจำ
- ความบกพร่องและกรณีที่ไม่สามารถลืมได้
- การลืมในบริบททางสังคม
เกริ่นนำ (Introduction)
การลืมหรือการจำไม่ได้ คือการสูญเสียหรือการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลที่เคยถูกเข้ารหัสและเก็บไว้ในความจำระยะสั้นหรือระยะยาวของบุคคล การลืมอาจเกิดขึ้นได้ทั้งแบบฉับพลันหรือค่อยเป็นค่อยไป โดยที่ความทรงจำเก่าจะไม่สามารถถูกเรียกกลับมาได้จากคลังความจำ ปัญหาเกี่ยวกับการจำ การเรียนรู้ และการเก็บรักษาข้อมูลใหม่ๆ เป็นหนึ่งในข้อร้องเรียนที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ มีการศึกษาพบว่าความสามารถในการจดจำจะดีขึ้นเมื่อมีการทบทวนซ้ำบ่อยๆ เพราะการทบทวนนี้ช่วยให้ข้อมูลถูกส่งต่อไปยังความจำระยะยาว
เส้นโค้งการลืม (Forgetting curves) ซึ่งแสดงปริมาณของสิ่งที่ยังจำได้เมื่อเวลาผ่านไปหลังจากประสบการณ์หนึ่งๆ ได้รับการวิเคราะห์อย่างกว้างขวาง ล่าสุดมีหลักฐานที่ชี้ว่า สมการแบบกำลัง (Power function) เป็นรูปแบบทางคณิตศาสตร์ที่อธิบายลักษณะของเส้นโค้งการลืมได้ใกล้เคียงที่สุด
ภาพรวม (Overall)
การที่ไม่สามารถเรียกความทรงจำของเหตุการณ์หนึ่งกลับมาได้ ไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์นั้นถูกลืมไปตลอดกาล มีงานวิจัยพบว่าพฤติกรรมด้านสุขภาพบางอย่างสามารถช่วยลดโอกาสในการลืมได้ในระดับหนึ่ง วิธีที่ง่ายที่สุดวิธีหนึ่งในการดูแลสมองและป้องกันการลืมคือ การรักษาความกระฉับกระเฉงและการออกกำลังกาย การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอมีความสำคัญ เพราะโดยรวมแล้วจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และเมื่อร่างกายแข็งแรง สมองก็จะแข็งแรงและมีภาวะอักเสบน้อยลงด้วย จากการศึกษา พบว่าผู้สูงอายุที่มีกิจกรรมทางกายมากกว่ามักมีอาการลืมน้อยกว่าผู้สูงอายุที่เคลื่อนไหวน้อย นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ยังช่วยให้สมองทำงานดีขึ้นและชะลอกระบวนการชรา ซึ่งส่งผลให้เกิดการลืมบ่อยน้อยลงอีกด้วย
ประวัติ (History)
หนึ่งในบุคคลแรกๆ ที่ศึกษากลไกของการลืม คือจิตแพทย์ชาวเยอรมันชื่อ Hermann Ebbinghaus ในปี ค.ศ. 1885 โดยเขาใช้ตัวเองเป็นอาสาสมัครเพียงคนเดียวในการทดลอง เขาท่องจำรายการคำไร้ความหมาย ซึ่งประกอบด้วยพยัญชนะ 2 ตัวและสระ 1 ตัวตรงกลาง จากนั้นจึงวัดความสามารถของตนเองในการเรียนรู้รายการคำนั้นซ้ำในช่วงเวลาต่างๆ
Ebbinghaus พบว่าการลืมเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ คือ ลืมอย่างรวดเร็วในช่วงแรก แล้วค่อยๆ ช้าลงและคงที่เมื่อเวลาผ่านไป แม้ว่าเทคนิคของเขาจะยังเป็นแบบพื้นฐาน แต่หลักคิดของเขาก็ยังคงได้รับการยืนยันว่าถูกต้อง จากการศึกษาที่ทันสมัยกว่าในภายหลัง ผลการทดลองของเขาถูกเรียกว่า “เส้นโค้งการลืม” (Forgetting curve) ของ Ebbinghaus ซึ่งเขาสรุปไว้ 2 ประเด็นหลัก คือ:
- ส่วนใหญ่ของสิ่งที่เราลืม มักสูญหายไปไม่นานหลังจากที่เราเรียนรู้มันครั้งแรก
- ปริมาณการลืมจะชะลอลงและคงที่ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไป
ในช่วงเวลาเดียวกับที่ Ebbinghaus พัฒนาแนวคิดเรื่องเส้นโค้งการลืม นักจิตวิเคราะห์ชื่อดัง Sigmund Freud ได้เสนอทฤษฎีว่า มนุษย์บางครั้ง “ตั้งใจลืม” เพื่อผลักความคิดและความรู้สึกแย่ๆ ลงไปสู่จิตไร้สำนึก เขาเรียกกระบวนการนี้ว่า “การกดทับ (Repression)” อย่างไรก็ตาม มีการถกเถียงกันว่า การกดทับความทรงจำ นี้เกิดขึ้นจริงหรือบ่อยแค่ไหน และในวงการจิตวิทยากระแสหลักก็มีความเห็นว่า การกดทับความทรงจำที่แท้จริงนั้น เกิดขึ้นได้ยากมาก
แบบจำลองกระบวนการความจำแบบหนึ่ง ถูกเสนอโดย Richard Atkinson และ Richard Shiffrin ในช่วงทศวรรษ 1960s เพื่ออธิบายการทำงานของความจำ แบบจำลองนี้เรียกว่า แบบจำลองโมเดล (Modal model) หรือที่รู้จักในชื่อ แบบจำลองความจำ (Model of memory) ของ Atkinson-Shiffrin ซึ่งเสนอว่าความจำของมนุษย์มีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่:
- ความจำจากประสาทสัมผัส (Sensory memory)
- ความจำระยะสั้น (Short-term memory)
- ความจำระยะยาว (Long-term memory)
ความจำแต่ละประเภทจะมีความจุและระยะเวลาการเก็บข้อมูลแตกต่างกัน ในแบบจำลองนี้ ความเร็วที่เราลืมข้อมูล ขึ้นอยู่กับว่า ข้อมูลนั้นอยู่ในประเภทความจำใด
- ข้อมูลใน ความจำจากประสาทสัมผัส จะถูกลืมภายในเวลาไม่กี่วินาที
- ข้อมูลใน ความจำระยะสั้น จะถูกลืมภายในประมาณ 20 วินาที
- ข้อมูลใน ความจำระยะยาว สามารถถูกจดจำได้นานเป็นนาทีจนถึงหลายสิบปี
แต่ก็อาจ ลืมได้เช่นกัน หากกระบวนการเรียกคืนข้อมูล (Retrieval) ล้มเหลว
เกี่ยวกับความทรงจำที่ไม่พึงประสงค์ คำศัพท์ทางจิตวิทยาสมัยใหม่แบ่งกระบวนการ “การลืมอย่างมีแรงจูงใจ” (Motivated forgetting) ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- การกดทับโดยไม่รู้ตัว (Unconscious repression) ซึ่งยังเป็นที่ถกเถียงกันในวงวิชาการว่าเกิดขึ้นจริงหรือไม่
- การระงับความคิดโดยตั้งใจ (Conscious thought suppression)
การวัดผล (Measurements)
การลืมสามารถวัดได้หลายวิธี ซึ่งทั้งหมดนั้นอิงจากการระลึกถึง (Recall):
- การระลึก (Recall)
สำหรับการวัดประเภทนี้ ผู้เข้าร่วมจะต้องระบุสิ่งที่เคยเรียนรู้มาก่อน โดยพวกเขาจะถูกขอให้จดจำรายการของข้อมูลหนึ่งชุด จากนั้นในภายหลัง พวกเขาจะถูกแสดงรายการเดียวกันนั้นอีกครั้ง โดยมีข้อมูลเพิ่มเติมปะปนอยู่ และพวกเขาต้องระบุว่า ข้อมูลใดอยู่ในรายการเดิม ยิ่งพวกเขาสามารถจำได้มากเท่าไร แสดงว่าลืมไปน้อยเท่านั้น
-
- การระลึกอย่างอิสระและรูปแบบต่างๆ (Free recall and variants)
การระลึกอย่างอิสระ เป็นแนวทางพื้นฐานที่ใช้ในการศึกษาความจำของมนุษย์ ในงานทดลองประเภทนี้ ผู้เข้าร่วมจะได้รับรายการของสิ่งที่ต้องจดจำทีละรายการ เช่น ผู้ทดลองอาจอ่านข้อความ 20 คำออกเสียงทีละคำ โดยให้คำใหม่ทุกๆ 4 วินาที เมื่อสิ้นสุดการนำเสนอรายการดังกล่าว ผู้เข้าร่วมจะถูกขอให้ระลึกถึงรายการที่จำได้ เช่น การเขียนคำที่จำได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรียกว่างานระลึกอย่างเสรี เพราะผู้เข้าร่วมสามารถระลึกคำต่างๆ ได้ในลำดับใดก็ได้ ตามที่ตนต้องการ
-
- การระลึกแบบมีตัวช่วย (Prompted (cued) recall)
การระลึกนี้ เป็นรูปแบบที่ปรับเล็กน้อยจากการระลึกแบบเสรี โดยจะมีการให้คำใบ้หรือตัวช่วยเพื่อเพิ่มโอกาสที่พฤติกรรมนั้นจะเกิดขึ้น โดยปกติแล้ว ตัวช่วยเหล่านี้จะเป็นสิ่งเร้าที่ไม่ได้ปรากฏระหว่างช่วงการฝึกฝน ดังนั้น เพื่อวัดระดับของการลืม จึงสามารถดูได้จากจำนวนคำใบ้ที่ผู้เข้าร่วมพลาด หรือจำนวนคำใบ้ที่ต้องใช้เพื่อกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมนั้น
-
- วิธีการเรียนรู้ซ้ำ (Relearning method)
วิธีนี้ใช้วัดการลืม โดยดูจากปริมาณการฝึกที่จำเป็นต้องใช้เพื่อให้กลับไปสู่ระดับความสามารถเดิม นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน Hermann Ebbinghaus ในปี ค.ศ. 1885 ใช้วิธีนี้ทดลองกับตัวเอง โดยเขาท่องจำรายการพยางค์ไร้ความหมาย จนสามารถพูดซ้ำได้สองครั้งโดยไม่ผิดเลย หลังจากผ่านช่วงเวลาหนึ่ง เขากลับมาฝึกจำรายการเดิมอีกครั้ง และจับเวลาว่าใช้เวลานานเท่าไรในการทำให้สำเร็จ ถ้าใช้เวลาน้อยลง ก็แสดงว่าการลืมนั้นเกิดขึ้นน้อย การทดลองของเขาถือเป็นหนึ่งในงานวิจัยแรกๆ ที่ศึกษาการลืมอย่างเป็นระบบ
-
- การจำได้ (Recognition)
ผู้เข้าร่วมจะได้รับรายการคำที่ต้องจดจำ จากนั้นจะถูกแสดงรายการคำเดิมอีกครั้งโดยมีข้อมูลเพิ่มเติมผสมอยู่ด้วย และพวกเขาจะถูกขอให้ระบุว่าข้อความใดอยู่ในรายการดั้งเดิม ยิ่งพวกเขาระบุคำเดิมได้มากเท่าไร ก็แสดงว่ามีการลืมข้อมูลน้อยลงเท่านั้น
ทฤษฎีต่างๆ (Theories)
ทฤษฎีหลักเกี่ยวกับการลืมในทางจิตวิทยาที่เห็นได้ชัดมีอยู่ 4 ทฤษฎี ดังนี้:
- การลืมที่ขึ้นอยู่กับตัวชี้นำ (Cue-dependent forgetting)
การลืมที่ขึ้นอยู่กับตัวชี้นำ (Cue-dependent forgetting) หรือที่เรียกว่า การลืมตามบริบท (Context-dependent forgetting) หรือ ความล้มเหลวในการดึงข้อมูลออกมา (retrieval failure) คือการที่บุคคลไม่สามารถระลึกความทรงจำได้ เนื่องมาจากสิ่งเร้าหรือตัวชี้นำที่มีอยู่ในขณะที่มีการบันทึกความทรงจำนั้นหายไป
การบันทึก (Encoding) คือขั้นตอนแรกของการสร้างและจดจำความทรงจำ คุณภาพของการบันทึกลงในความทรงจำสามารถวัดได้จากแบบทดสอบการดึงข้อมูล เช่น
-
- แบบทดสอบแบบชัดแจ้ง เช่น การระลึกแบบมีตัวช่วย (Cued recall)
- แบบทดสอบโดยนัย เช่น เติมคำในคำที่ขาด (Word fragment completion)
การลืมที่ขึ้นอยู่กับตัวชี้นำ เป็นหนึ่งในห้าทฤษฎีทางจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมที่อธิบายเรื่องการลืม ทฤษฎีนี้ระบุว่า ความทรงจำบางครั้งเพียงแค่ “ถูกลืม” ชั่วคราวเพราะไม่สามารถเข้าถึงได้ — แต่หากมีตัวชี้นำที่เหมาะสม ความทรงจำนั้นก็สามารถหวนกลับมาได้ เปรียบเทียบได้กับการหาหนังสือในห้องสมุดโดยไม่มีเลขเรียกหนังสือ ชื่อหนังสือ ผู้แต่ง หรือแม้แต่หัวเรื่อง — หนังสือยังอยู่ที่นั่น แต่ถ้าไม่มีข้อมูลพวกนี้ก็ยากที่จะหาเจอ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวชี้นำที่ใช้ควรมีลักษณะสอดคล้องกับวิธีที่ข้อมูลนั้นถูกบันทึกไว้ เช่น ถ้าในขณะที่บันทึกให้ความสำคัญกับเสียงของคำ ตัวชี้นำที่ใช้ดึงข้อมูลก็ควรเน้นที่ลักษณะเสียงเช่นเดียวกัน ข้อมูลนั้น ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ไม่สามารถเข้าถึงได้ทันทีหากไม่มีตัวชี้นำนั้น ทั้งนี้ อายุของบุคคลอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการใช้ตัวชี้นำเพื่อดึงข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ แต่ก็ไม่ใช่กรณีที่เกิดขึ้นเสมอไป อย่างไรก็ตาม มีเทคนิคหนึ่งชื่อว่า การระลึกแบบเป็นช่วงเวลา (Spaced retrieval) ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถดึงเหตุการณ์ในความทรงจำกลับมาได้ดีขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับวิธีการจดจำนี้ มีหลักฐานจากงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า ความสามารถในการจดจำแบบเหตุการณ์ (Episodic memory) มีแนวโน้มลดลงตามอายุ โดยเฉพาะเมื่อมีการนำข้อมูลสองอย่างมารวมกันโดยที่ไม่ได้บันทึกไว้ให้ชัดเจน
- สาเหตุทางชีวภาพ (Organic causes)
การลืมที่เกิดจากความเสียหายทางสรีรวิทยาหรือการเสื่อมของสมอง เรียกว่า "สาเหตุทางกายภาพของการลืม" (Organic causes of forgetting) แนวคิดกลุ่มนี้ครอบคลุมทั้งการสูญเสียข้อมูลที่เคยถูกเก็บไว้ในความจำระยะยาว และภาวะที่ไม่สามารถบันทึกข้อมูลใหม่ได้อีกต่อไป ตัวอย่างของสาเหตุเหล่านี้ได้แก่:
-
- โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s)
- ภาวะความจำเสื่อม (Amnesia)
- ภาวะสมองเสื่อม (Dementia)
- ทฤษฎีการรวมตัวของความจำ (Consolidation theory) และ
- การทำงานของระบบประสาทส่วนกลางที่ช้าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามอายุ
- ทฤษฎีการรบกวน (Interference theories)
ทฤษฎีการรบกวนนี้ หมายถึงแนวคิดที่ว่า การเรียนรู้ข้อมูลใหม่สามารถทำให้ลืมข้อมูลเดิมได้ เนื่องจากเกิดการแข่งขันระหว่างข้อมูลใหม่กับข้อมูลเก่า กล่าวอีกอย่างคือ ข้อมูลในความจำอาจสับสนหรือถูกผสมกับข้อมูลอื่นในระหว่างขั้นตอนการบันทึก ส่งผลให้เกิดการบิดเบือนหรือถูกรบกวน โดยทั่วไป สิ่งรบกวนมักมาจากสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นมากเกินไป
ทฤษฎีการรบกวนมี 3 สาขาย่อย ได้แก่:
-
- การรบกวนย้อนหลัง (Retroactive interference): เมื่อข้อมูลใหม่ไปรบกวนการจดจำข้อมูลเดิม
- การรบกวนล่วงหน้า (Proactive interference): เมื่อข้อมูลเดิมไปรบกวนการเรียกคืนข้อมูลใหม่
โดยทั้งสองแบบนี้มักเกิดขึ้นเมื่อข้อมูลทั้งเก่าและใหม่มีความคล้ายกัน
-
- การรบกวนจากการระลึก (Output interference) เกิดขึ้นเมื่อการระลึกข้อมูลบางส่วนในตอนต้นไปขัดขวางการระลึกข้อมูลเดิมที่ยังเหลืออยู่
อีกสาเหตุของความล้มเหลวในการดึงข้อมูลคือ การบันทึกที่ล้มเหลว ซึ่งหมายถึงข้อมูลไม่เคยเข้าสู่ความจำระยะยาวเลยตั้งแต่แรก
ตามทฤษฎีระดับของกระบวนการ (Level of processing theory) คุณภาพของการบันทึกข้อมูลขึ้นอยู่กับระดับของการประมวลผล – ข้อมูลที่เกี่ยวกับภาพ (Visual imagery) หรือมีคุณค่าต่อการอยู่รอด จะถูกถ่ายโอนไปยังความจำระยะยาวได้ดีกว่า
ทฤษฎีนี้ยังชี้ให้เห็นข้อขัดแย้งอย่างหนึ่งว่า: บุคคลที่มีความฉลาดมากอาจลืมได้ง่ายกว่าบุคคลที่มีระดับสติปัญญาช้ากว่า เพราะสมองของบุคคลฉลาดมีข้อมูลมาก ทำให้เกิดการรบกวนภายในที่ส่งผลต่อการระลึกเฉพาะเรื่องได้ยากขึ้น
งานวิจัยในปัจจุบันส่วนใหญ่ทดสอบทฤษฎีนี้ผ่านการระลึกคำจากรายการคำศัพท์ มากกว่าการจำสถานการณ์ในชีวิตจริง จึงยากที่จะสรุปผลทั่วไป
นอกจากนี้ยังพบว่า
-
- งานที่เกี่ยวข้องกับการรบกวนสามารถลดประสิทธิภาพความจำลงถึง 20%
- ผลกระทบทางลบเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงเวลาหลังการเรียนรู้
- ผู้เรียนเร็วมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากการรบกวนมากกว่าผู้เรียนช้า
- ผู้คนจะจำข้อมูลได้น้อยลงหากมีสิ่งรบกวนภายใน 10 นาทีแรกหลังการเรียน
- ประสิทธิภาพในการระลึกจะดีกว่าเมื่อไม่มีการรบกวน
แม้ว่ากระบวนการรอง เช่น เวลาที่ใช้ในการเข้ารหัส การรู้จำ หรือการเคลื่อนไหว จะเสื่อมลงตามอายุ แต่ผลการศึกษาบางฉบับกลับพบว่า ความสามารถในการยับยั้งการรบกวนแบบล่วงหน้าอาจยังคงอยู่ในผู้สูงอายุ ซึ่งขัดแย้งกับรายงานก่อนหน้านี้T
- ทฤษฎีการเสื่อมของร่องรอยความจำ (Trace decay theory)
ทฤษฎีการเสื่อมของร่องรอยความจำ ระบุว่า เมื่อเราเรียนรู้สิ่งใหม่ สมองจะสร้าง "ร่องรอยความจำ" ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและกายภาพขึ้นมา และเมื่อเวลาผ่านไป ร่องรอยนี้จะค่อยๆ สลายไป หากไม่ได้มีการใช้งานซ้ำเป็นครั้งคราว ทฤษฎีนี้จึงอธิบายว่า เหตุผลที่เราลืมสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเหตุการณ์หนึ่งๆ เป็นเพราะความทรงจำนั้นจางหายตามกาลเวลา หากเราไม่ย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์นั้น ยิ่งช่วงเวลาระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเวลาที่เราพยายามนึกถึงมันนานเท่าไร ความจำก็จะยิ่งเลือนลางลง เวลาจึงมีผลกระทบอย่างมากต่อการจดจำเหตุการณ์
ทฤษฎีการเสื่อมของร่องรอยความจำ อธิบายถึงความทรงจำที่เก็บอยู่ทั้งในระบบความจำระยะสั้นและระยะยาว โดยเชื่อว่าเมื่อมีการรับรู้ข้อมูลใหม่ ร่องรอยความจำจะถูกสร้างขึ้นในสมอง ทฤษฎีนี้เสนอว่า ความจำระยะสั้น (STM) สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้เพียงช่วงเวลาจำกัดประมาณ 15 ถึง 30 วินาที เว้นแต่จะมีการทบทวนหรือฝึกจำ หากไม่มีการทบทวน ข้อมูลนั้นจะเริ่มจางหายไปเรื่อยๆ
Donald Hebb เสนอว่าเมื่อมีข้อมูลใหม่เข้ามา จะมีการกระตุ้นเซลล์ประสาทเป็นลำดับ ทำให้เกิด ร่องรอยความจำทางระบบประสาท ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือเคมีในสมอง และร่องรอยนี้จะสลายไปตามเวลา หากไม่มีการกระตุ้นซ้ำ การยิงสัญญาณซ้ำๆ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกระแสเคมีไฟฟ้าในสมอง (Synapses) ซึ่งการทบทวนซ้ำจะช่วยรักษาข้อมูลในความจำระยะสั้นไว้ จนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างถาวร ดังนั้น การลืมจึงเป็นผลมาจากกระบวนการเสื่อมสลายของร่องรอยความจำโดยอัตโนมัติ
ทฤษฎีนี้ยังระบุด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงเรียนรู้กับช่วงที่พยายามเรียกคืนความจำ ไม่มีผลต่อความสามารถในการระลึก แต่สิ่งสำคัญคือ ระยะเวลาที่ข้อมูลถูกเก็บไว้ ยิ่งเวลาผ่านไปนาน ร่องรอยความจำก็ยิ่งเสื่อมสลาย ทำให้ข้อมูลนั้นถูกลืมไปในที่สุด
หนึ่งในปัญหาสำคัญของทฤษฎีนี้ คือ ในสถานการณ์จริง เวลาระหว่างการเข้ารหัสข้อมูล กับการเรียกคืนข้อมูลมักจะเต็มไปด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับบุคคลนั้นๆ จึงทำให้สรุปว่าการลืมเกิดขึ้นเพียงเพราะระยะเวลาที่ผ่านไปดูจะไม่เพียงพอ นอกจากนี้ยังควรพิจารณาถึงความมีประสิทธิภาพของทฤษฎีนี้ด้วย แม้ว่าทฤษฎีจะฟังดูน่าเชื่อถือ แต่แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทดสอบ เพราะในทางปฏิบัติ ยากมากที่จะสร้างสถานการณ์ที่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย ระหว่างการนำเสนอข้อมูลกับการพยายามเรียกความจำในภายหลัง
มีข้อโต้แย้งสำคัญต่อทฤษฎีนี้ เช่น กรณีที่คนเรายังสามารถขี่จักรยานได้ แม้จะไม่ได้ขี่มานานหลายสิบปี ซึ่งดูเหมือนจะขัดแย้งกับแนวคิดเรื่องร่องรอยความจำที่เสื่อมไปตามเวลา นอกจากนี้ “ภาพจำฝังแน่น” (Flashbulb memories) ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ดูจะขัดแย้งเช่นกัน เพราะเป็นความทรงจำที่ชัดเจนและฝังแน่นเกี่ยวกับเหตุการณ์สะเทือนใจหรือสำคัญอย่างมาก เชื่อกันว่าความทรงจำบางประเภทอาจมีการเสื่อมของร่องรอย แต่บางประเภทกลับไม่มี
นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่า การนอนหลับมีบทบาทสำคัญในการชะลอหรือหยุดยั้งการเสื่อมของร่องรอยความจำ แต่กลไกที่แน่ชัดของกระบวนการนี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจน
การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทางเคมีในสมองของเรา ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ร่องรอยความจำ ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานของทฤษฎีร่องรอยความจำ ข้อมูลที่เข้าสู่ความจำระยะสั้นมักคงอยู่เพียงไม่กี่วินาที (ประมาณ 15–20 วินาที) และจะเลือนหายไปหากไม่มีการฝึกทบทวนหรือใช้งานซ้ำ เพราะร่องรอยความจำทางเคมีในสมองนั้นเสื่อมเร็วมาก
ตามแนวคิดของทฤษฎีการเสื่อมของร่องรอยความจำ สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงที่สร้างความทรงจำและช่วงที่เรียกมันคืน ไม่มีผลโดยตรงต่อการระลึกถึงความทรงจำนั้น แต่สิ่งที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งคือ ระยะเวลาระหว่างทั้งสองช่วงนี้ หากระยะเวลานั้นสั้น โอกาสที่จะระลึกได้ก็จะสูงขึ้น แต่ถ้าระยะเวลานาน โอกาสในการเรียกคืนความจำก็จะลดลง
อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ถูกวิจารณ์ว่าไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมบางความจำจึงคงอยู่ บางความจำจึงหายไป ทั้งที่เวลาก็ผ่านไปนานเช่นกัน เช่น การที่คนยังจำวันแรกที่ไปต่างประเทศได้ชัดเจน แต่ลืมเหตุการณ์ทั่วไปที่เกิดขึ้นในวันถัดๆ ไป ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับ “ความใหม่ของประสบการณ์” ที่มีความสำคัญต่อการจดจำ นอกจากนี้ อารมณ์ก็มีบทบาทสำคัญในการทำให้ความทรงจำบางอย่างชัดเจนและฝังแน่นมากกว่าความจำธรรมดาทั่วไป
ความบกพร่องและกรณีที่ไม่สามารถลืมได้ (Impairments and lack of forgetting)
การลืมอาจเกิดจากหลายสาเหตุที่ซับซ้อน ไม่ใช่แค่การลบข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในสมองเท่านั้น โดยการลืมอาจเกิดจากปัญหาในการเข้าถึงข้อมูล หรือความพร้อมใช้งานของข้อมูล รวมถึงอาจมีสาเหตุอื่นๆ เช่น ภาวะสูญเสียความจำที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บ
การไม่สามารถลืมได้ ก็อาจก่อให้เกิดความทุกข์ใจได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ภาวะเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (Post-traumatic stress disorder) และภาวะความจำอัตชีวประวัติละเอียดเป็นพิเศษ (โรคความจำดี Hyper-thymesia) ซึ่งเป็นภาวะที่บุคคลสามารถจำเหตุการณ์ในชีวิตของตนเองได้อย่างละเอียดมากเป็นพิเศษ
การลืมในบริบททางสังคม (Social forgetting)
นักจิตวิทยาให้ความสนใจกับ “แง่มุมทางสังคมของการลืม” ซึ่งแม้คำว่าภาวะหลงลืมทางสังคมจะยังไม่มีคำจำกัดความตายตัว แต่มักถูกมองว่าตรงข้ามกับ “ความทรงจำร่วม” (Collective memory)
คำว่า “ภาวะหลงลืมทางสังคม” ถูกพูดถึงครั้งแรกโดย Russell Jacoby แต่เขาใช้ในความหมายที่ค่อนข้างแคบ โดยมุ่งวิจารณ์ว่าในวงการจิตวิทยานั้น ละเลยทฤษฎีจิตวิเคราะห์ อย่างมาก
นักประวัติศาสตร์วัฒนธรรม Peter Burke เสนอว่า ควรศึกษา “การจัดระเบียบทางสังคมของการลืม” เช่น กฎเกณฑ์ของการกีดกัน การกลบเกลื่อน หรือการกดทับความทรงจำ รวมทั้งตั้งคำถามว่า “ใครอยากให้ใครลืมอะไร”
Guy Beiner ซึ่งศึกษาเชิงประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้งนานกว่า 200 ปี เสนอคำว่า “การลืมในระดับสังคม (Social forgetting)” โดยแยกแนวคิดนี้ออกจากแนวคิดพื้นๆ อย่าง “การลืมร่วมกันในระดับสังคม (Collective amnesia)” หรือ “การลืมเลือนโดยสิ้นเชิง (Total oblivion)” โดยเขาเสนอว่า “การลืมในระดับสังคม” เกิดขึ้นตรงรอยต่อของ “ความเงียบของสาธารณชน” กับ “การระลึกส่วนบุคคล”
Walter Benjamin นักปรัชญา มองว่าการลืมในระดับสังคมเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของปัจจุบันอย่างใกล้ชิด โดยเขากล่าวว่า “ภาพใดของอดีตที่ปัจจุบันไม่ยอมรับว่าเกี่ยวข้องกับตนเอง มีแนวโน้มจะสูญหายไปอย่างไม่อาจเรียกคืนได้”
นักสังคมวิทยา David Leupold ขยายแนวคิดนี้โดยชี้ว่า ในบริบทของ “เรื่องเล่าเชิงชาติ” ที่แข่งขันกัน ข้อมูลที่ถูกกดทับหรือทำให้ลืมในเรื่องเล่าหนึ่ง “อาจกลายเป็นใจกลางของเรื่องเล่าอีกฝ่าย” — และบ่อยครั้ง สิ่งนี้นำไปสู่การตีความอดีตที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง
แปลและเรียบเรียงจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Forgetting [2025, June 24] โดย ชฎาวีณ์ ไชยภูริพัฒน์
อ่านตรวจทานโดย ศ. นพ. สมศักดิ์ เทียมเก่า