ยาต้านไวรัส (Antiviral drugs)
- โดย พรลภัส บุญสอน
 - 23 มกราคม 2565
 - Tweet
 
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
 - ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
 - เชื้อไวรัส โรคติดเชื้อไวรัส (Viral infection)
 - ยาต้านรีโทรไวรัส (Antiretroviral Agent)
 - เอชไอวี: โรคติดเชื้อเอชไอวี (HIV: HIV infection)
 - เอดส์ (AIDS)
 - มะเร็งคาโปซิซาร์โคมา (Kaposi's sarcoma)
 - โรคอาร์เอสวี หรือโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอาร์เอสวี (Respiratory Syncytial virus infection)
 - โรคติดเชื้อไซโตเมกาโลไวรัส โรคติดเชื้อซีเอมวี (Cytomegalovirus infection: CMV infection)
 
สารบัญ
- ยาต้านไวรัสคือยาอะไร?มีคุณสมบัติอย่างไร?
 - ยาต้านไวรัสแบ่งเป็นกี่ประเภท?
 - ยาต้านไวรัสอยู่ในรูปแบบใดบ้าง?
 - มีข้อบ่งใช้ยาต้านไวรัสอย่างไร?
 - มีข้อห้ามการใช้ยาต้านไวรัสอย่างไร?
 - มีข้อควรระวังการใช้ยาต้านไวรัสอย่างไร?
 - การใช้ยาต้านไวรัสในหญิงมีครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นอย่างไร?
 - การใช้ยาต้านไวรัสในผู้สูงอายุควรเป็นอย่างไร?
 - การใช้ยาต้านไวรัสในเด็กควรเป็นอย่างไร?
 - อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาต้านไวรัสมีอะไรบ้าง?
 - สรุป
 - บรรณานุกรม
 

ยาต้านไวรัสคือยาอะไร?มีคุณสมบัติอย่างไร?
ยาต้านไวรัส (Antiviral drugs) คือ ยาที่ใช้รักษาอาการต่างๆที่เกิดจากโรคติดเชื้อไวรัส โดยยาต้านไวรัสแต่ละชนิดจะใช้กับเชื้อไวรัสชนิดที่แตกต่างกัน
ยาต้านไวรัสแบ่งเป็นกี่ประเภท?
ยาต้านไวรัส แบ่งตามการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้เป็นหลายชนิด/ประเภท/กลุ่ม ดังนี้
- ยารักษาอาการติดเชื้อ
 
- เฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัส (Herpes simplex virus) เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริม
 - วาริเซลลาซอสเตอร์ไวรัส (Varicella-zoster virus) เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด
 
ซึ่งยาในกลุ่มนี้ เช่น ยา อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir), วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir), แฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir), เพนไซโคลเวียร์ (Penciclovir), ไวดาราบีน (Vidarabine), ไตรฟลูริดีน (Trifluridine)
- ยารักษาอาการโรคติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัสหรือซีเอ็มวี(Cytomegalovirus or CMV): เช่น ยา แกนไซโคลเวียร์ (Ganciclovir), วาลแกนไซโคลเวียร์ (Valganciclovir), ไซโดโฟเวียร์ (Cidofovir), ฟอสคาร์เนท (Foscarnet), โฟมิเวียร์เซน (Fomivirsen)
 - ยารักษาอาการติดเชื้ออินฟลูเอนซาไวรัส(Influenza virus ทำให้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่): เช่น ยา อะแมนทาดีน (Amantadine), ไรแมนทาดีน (Rimantadine), โอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir), ซานามิเวียร์ (Zanamivir)
 - ยารักษาโรคไวรัสตับอักเสบ (Viral hepatitis): เช่น ยา อินเตอร์เฟอรอน (Interferon/ IFN), ไรบาไวริน (Ribavirin), อะดีโฟเวียร์ (Adefovir), เอ็มตริไซตาบีน (Emtricitabine), เอ็นทีคาเวียร์ (Entecavir), ลามิวูดีน (Lamivudine), เทลบิวูดีน (Telbivudine), ทีโนโฟเวียร์ (Tenofovir)
 - ยารักษาโรคเอชไอวี /ยาต้านเอชไอวี (Human immunodeficiency virus, HIV): เช่น ยาในกลุ่มยาต้านรีโทรไวรัสซึ่งยาในกลุ่มนี้จะไม่กล่าวรายละเอียดในบทความนี้ เพราะมีตัวยาได้หลากหลายมาก รวมถึงมีข้อบ่งชี้และข้อห้ามการใช้ที่เป็นลักษณะจำเพาะ อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ com บทความเรื่อง การติดเชื้อเอชไอวี, เรื่อง โรคเอดส์, และเรื่อง ยาต้านรีโทรไวรัส)
 
ยาต้านไวรัสอยู่ในรูปแบบใดบ้าง?
ยาต้านไวรัสมีจำหน่ายในหลายรูปแบบ เช่น
- ยาเม็ด (Tablet)
 - ยาแคปซูล (Capsule)
 - ยาป้ายตา (Eye ointment)
 - ยาเจลปราศจากเชื้อสำหรับหยอดตา (Ophthalmic gel)
 - ยาฉีดเข้าลูกตา (Intravitreal injection)
 - ยาพ่น (Aerosol)
 - ยาเตรียมปราศจากเชื้อ (Sterile solution)
 - ยาน้ำเชื่อมที่อยู่ในรูปผงแห้ง (Dry syrup)
 - ยาน้ำแขวนตะกอน (Suspension)
 - ยาครีม (Cream)
 
มีข้อบ่งใช้ยาต้านไวรัสอย่างไร?
มีข้อบ่งใช้ยาต้านไวรัส เช่น
- ยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัส (Herpes simplex virus) และเชื้อวาริเซลลาซอสเตอร์ไวรัส (Varicella-zoster visrus): เช่น
 
- รักษาโรคเริมที่เกิดจากการติดเชื้อเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัส (Herpes simplex virus) ที่ผิวหนัง และที่เยื่อเมือกรวมทั้งเริมที่อวัยวะเพศ (Herpes genitallis)
 - ป้องกันโรคเริมที่กลับมาเป็นซ้ำในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายที่ปกติ และป้องกันโรคเริมในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง
 - รักษาโรคอีสุกอีใส (Chickenpox)
 - รักษาโรคงูสวัด (Herpes zoster infections/Shingles)
 
- ยารักษาอาการโรคติดเชื้อไซโตเมกาโลไวรัสหรือซีเอ็มวี/Cytomegalovirus or CMV:
 
- รักษาโรคจอตาอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสซีเอ็มวี (CMV retinitis)
 - รักษาการติดเชื้อไวรัสซีเอ็มวีในระบบอื่นๆของร่างกายในผู้ป่วยที่มีภูมคุ้มกันฯบกพร่อง
 - ป้องกันการติดเชื้อไวรัสซีเอ็มวีในผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
 
- ยารักษาอาการติดเชื้ออินฟลูเอนซาไวรัส (Influenza virus):
 
- ใช้ป้องกันและรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Influenza A และ Influenza B
 - ใช้รักษาภาวะปอดบวมและหลอดลมอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อ Respiratory syncytial virus (โรคอาร์เอสวี)
 - โอเซลทามิเวียร์ เป็นยาที่ใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ชนิดย่อย H3N2, ไข้หวัดนกชนิด H5N1, และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 (H1N1)
 - อะแมนทาดีนและไรแมนทาดีน: สามารถใช้เป็นยารักษาโรคพาร์กินสันได้ ทั้งนี้ HN (Hemagglutinin-neuraminidase) คือชนิดของโปรตีนที่แตกต่างกันในแต่ละไวรัสฯสายพันธุ์ย่อย
 
- ยารักษาโรคไวรัสตับอักเสบ (Viral hepatitis):
 
- รักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรัง (Chronic hepatitis B)
 - รักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีชนิดเรื้อรัง (Chronic hepatitis C)
 - ใช้รักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีชนิดเฉียบพลัน (Acute hepatitis C)
 - รักษาหูดหงอนไก่ (Condyloma acuminatam/Genital warts)
 - รักษาโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งคาโปซิ (Kaposi’s sarcoma) ในผู้ป่วยเอดส์
 
มีข้อห้ามการใช้ยาต้านไวรัสอย่างไร?
มีข้อห้ามการใช้ยาต้านไวรัส เช่น
- ห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติแพ้ยานั้นๆ แพ้ส่วนประกอบของยานั้นๆ หรือแพ้ยาที่มีโครงสร้างคล้ายกันกับยานั้นๆ เช่น ผู้ป่วยที่เคยแพ้ยาอะไซโคลเวียร์อาจแพ้ยาวาลาไซโคลเวียร์ได้เช่นกัน
 - ห้ามใช้ยาแกนไซโคลเวียร์ในผู้ป่วยที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำกว่า 500 เซลล์ต่อไมโครลิตร หรือมีเกล็ดเลือดต่ำกว่า 25,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร
 - ห้ามใช้ยาไซโดโฟเวียร์ในผู้ป่วยที่แพ้ยาโพรเบเนซิด(Probenecid) หรือยาอื่นๆที่มีส่วน ประกอบของยาซัลฟา(Sulfa drug)
 - ห้ามใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบที่เกิดจากโรคออโตอิมูน (Autoim mune hepatitis) และผู้ป่วยโรคตับระยะสุดท้าย (Decompensated liver disease)
 
มีข้อควรระวังการใช้ยาต้านไวรัสอย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้ยาต้านไวรัส เช่น
- ยาแฟมไซโคลเวียร์: เป็นยาที่มีประกอบของแลคโตส (Lactose) อยู่ในเม็ดยา จึงควรระวังในผู้ ป่วยที่มีภาวะขาดเอนไซม์แลคเตส (Lactase deficiency) และภาวะที่ผู้ป่วยไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลกลูโคสหรือน้ำตาลกาแล็กโตสเข้าสู้ร่างกายได้ (Glucose-galactose malabsorption syndromes)
 - ระวังการใช้ยาอะแมนทาดีนและไรแมนทาดีนในผู้ป่วย โรคจิต โรคไต โรคตับ โรคลมชัก รวม ทั้งผู้ป่วยที่ใช้ยาแก้แพ้ (Antihistamine) และยาต้านโคลิเนอร์จิก (Anticholinergic drug) เพราะอาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาได้มากขึ้น
 - ระวังการใช้ยาอินเตอร์เฟอรอนในผู้ป่วยที่ได้รับยาขนาดสูงและได้รับยาติดต่อกันเป็นเวลานาน ผู้ป่วยที่ระดับเม็ดเลือดขาวต่ำและระดับเกล็ดเลือดต่ำ ผู้ป่วย โรคตับ ผู้ป่วยโรคหัวใจ นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ การทำงานกับเครื่องจักร และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอ ฮอล์เมื่อใช้ยานี้เพราะยานี้อาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ฯ เช่น ปวดหัว มึนงง และง่วงซึมได้
 
การใช้ยาต้านไวรัสในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นอย่างไร?
การใช้ยาต้านไวรัสในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นดังนี้ เช่น
- ยาอะไซโคลเวียร์:
 
- ในรูปแบบยาครีม: ค่อนข้างปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์เนื่องจากถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อย
 - ยานี้ในรูปแบบรับประทาน: ควรใช้เมื่อมารดาเป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศ นอกจากนี้การผ่าท้องทำคลอดก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถป้องกันไม่ให้เชื้อเริมผ่านไปสู่ทารกได้
 - ส่วนยานี้รูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำ: ควรใช้เมื่อมารดาอาจมีอันตรายถึงชีวิตเท่านั้นเช่น ภาวะปอดอักเสบ/ปอดบวมจากติดเชื้อไวรัส (Varicella pneumonia)
 - ส่วนยาอื่นๆ เช่นยา วาลาไซโคลเวียร์, แฟมไซโคลเวียร, และเพนไซโคลเวียร์, ไม่แนะนำให้ใช้ในหญิงตั้งครรภ์เนื่องจากยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ
 
*อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์ การใช้ยานี้ในทุกรูปแบบของยาควร ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้เสมอ
- ไม่ควรใช้ยาแกนไซโคลเวียร์และยาวาลแกนไซโคลเวียร์ในหญิงตั้งครรภ์เพราะยาทั้งสองชนิดเป็นพิษต่อทารกในครรภ์ (Teratogenicity)
 - ไม่แนะนำให้ใช้ยาอะแมนทาดีน, โอเซลทามิเวียร์ และซานามิเวียร์,ในระหว่างตั้งครรภ์ แพทย์จะพิจารณาการใช้เมื่อมารดาอาจมีอันตรายถึงชีวิตเท่านั้น ดังนั้นการใช้ยาทั้ง 3 ชนิดจึงต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์
 - หากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดรุนแรง เช่น โรคไวรัสตับอักเสบซี แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาไรบาไวรินโดยจะพิจารณาเมื่อมารดาอาจมีอันตรายถึงชีวิตเท่านั้นเพราะยานี้สามารถทำให้ทารกที่คลอดออกมาผิดปกติหรือเสียชีวิตขณะยังอยู่ในครรภ์มารดาได้
 
การใช้ยาต้านไวรัสในผู้สูงอายุควรเป็นอย่างไร?
การใช้ยาต้านไวรัสในผู้สูงอายุควรเป็นดังนี้ เช่น
- ระวังการใช้ยาต้านไวรัสที่มีผลต่อการทำงานของตับและของไตในผู้สูงอายุที่มีการทำงานของ ตับและ/หรือของไตผิดปกติ อาจต้องมีการปรับขนาดยาตามดุลพินิจของแพทย์และแพทย์จะเฝ้าดูอาการของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ
 - ระวังการใช้ยาอะแมนทาดีนและยาไรแมนทาดีนในผู้สูงอายุ เนื่องจากร่างกายต้องใช้เวลาในการกำจัดยาเหล่านี้ออกจากร่างกายนานกว่าวัยอื่นๆซึ่งอาจทำให้พบอาการไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง)จากการใช้ยาเหล่านี้ได้มากขึ้น
 
การใช้ยาต้านไวรัสในเด็กควรเป็นอย่างไร?
การใช้ยาต้านไวรัสในเด็ก (นิยามคำว่าเด็ก) ควรเป็นดังนี้ เช่น
- ยาอะไซโคลเวียร์: เป็นยาที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัส และเชื้อวาริเซลลาซอสเตอร์ไวรัสในผู้ป่วยเด็กได้, ในขณะที่ยาอื่นๆ เช่นยา วาลาไซโคลเวียร์ และแฟมไซโคลเวียร ยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยในการใช้ยาในเด็ก
 - ยาอะแมนทาดีน: เป็นยาที่ใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Influenza A , ในขณะที่ทั้งยาอะแมนทาดีนและยาไรแมนทาดีนสามารถใช้เป็นยาป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Influenza A ในผู้ป่วยเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
 - ยาไรบาไวรินและยาอินเตอร์เฟอรอน: เป็นยาที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อโรคไวรัสตับอักเสบซี, และใช้เป็นยารักษาอาการติดเชื้อทางเดินหายใจจากไวรัสที่เรียกว่า Respiratory syncytial virus (RSV: โรคอาร์เอสวี) ซึ่งเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคหลอดลมฝอยอักเสบเฉียบพลันในผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีหรือทารกคลอดก่อนกำหนดได้
 
อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาต้านไวรัสมีอะไรบ้าง?
อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (ผลข้างเคียง)จากการใช้ยาต้านไวรัส เช่น
- ยาอะไซโคลเวียร์และยาวาลาไซโคลเวียร์: เป็นยาที่มีความปลอดภัยสูง พบอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาได้น้อย เช่น
 
- การทำงานของไตบกพร่อง
 - พิษต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น มึนศีรษะ ปวดหัว คลื่นไส้
 
- ยาแกนไซโคลเวียร์และยาวาลแกนไซโคลเวียร์:
 
- มีผลกดไขกระดูก (ไขกระดูกทำงานลดลง) ทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (Neutropenia)
 - มีพิษต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ปวดหัว นอนไม่หลับ ชัก
 - ผลต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้-อาเจียน
 
- ยาอะแมนทาดีนและยาไรแมนทาดีน:
 
- มีพิษต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ซึมเศร้า กังวล มึนงง เห็นภาพหลอน/ประสาทหลอน นอนไม่หลับ
 - ผลต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น เบื่ออาหาร ท้องผูกหรือท้องเสีย และคลื่นไส้
 
- ยาไรบาไวริน: อาจทำให้เกิด
 
- ภาวะโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก (Hemolytic anemia)
 - กดไขกระดูก
 - เม็ดเลือดขาวต่ำ
 - มีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ (กลุ่มอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่: Flu-like symptoms) เช่น หนาวสั่น มีไข้
 - ส่วนยานี้ในรูปแบบยาพ่น อาจทำให้ระคายเคืองทางเดินหายใจ และเยื่อตาอักเสบ
 
- ยาอินเตอร์เฟอรอน: อาจ
 
- กดไขกระดูก
 - เม็ดเลือดขาวต่ำ
 - กลุ่มอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ (Flu-like symptoms)
 - มีพิษต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ซึมเศร้า สับสน โรคจิต ชัก
 
สรุป
ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด(รวมยาต้านไวรัสด้วย) ยาแผนโบราณ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิดควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
บรรณานุกรม
- Lacy C. F., et al. Drug information handbook with international trade names index. 19th Ohio : Lexi-comp, 2011.
 - Schaefer C., Peters P., and Miller R. K. Drugs During Pregnancy and Lactation. 2nd California: Elsevier, 2007.
 - Margo K. L., and Shaughnessy A. F. Antiviral Drugs in Healthy Children. Am Fam Physician. 1 (March 1998) : 1073-1077.
 - https://www.physio-pedia.com/Antiviral_Drugs [2022,Jan22]