ระบบอวัยวะสืบพันธุ์ของสตรี (Female reproductive system) – Update

สารบัญ

  • เกริ่นนำ (Introduction)
  • อวัยวะเพศภายนอกของสตรี (External genitalia)
    • โยนี (Vulva)
  • อวัยวะสืบพันธุ์ภายในของสตรี (Internal genitalia)
    • ช่องคลอด (Vagina)
    • ปากมดลูก (Cervix)
    • มดลูก (Uterus)
    • ท่อนำไข่ (Fallopian tubes)
    • รังไข่ (Ovaries)
    • ต่อมบริเวณปากช่องคลอด (Vestibular glands)
  • หน้าที่ (Function)
  • การพัฒนา (Development)
  • ความสำคัญทางคลินิก Clinical significance
    • ภาวะช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis)
    • ภาวะเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดผิดสมดุล (Bacterial vaginosis)
    • ภาวะเชื้อราที่ช่องคลอด (Yeast infection)
    • การทำร้ายบริเวณอวัยวะเพศ (Genital mutilation)
    • การผ่าตัดบริเวณอวัยวะเพศ (Genital surgery)
    • การคุมกำเนิด (Birth control)
  • สิทธิการเจริญพันธุ์ (Reproductive rights)
  • ประวัติศาสตร์ (History)

เกริ่นนำ

ระบบสืบพันธุ์ของสตรีประกอบด้วยอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งภายในและภายนอก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการให้กำเนิดทารก ระบบดังกล่าวยังไม่พัฒนาเต็มที่ในช่วงแรกเกิด แต่จะเข้าสู่ภาวะสมบูรณ์ในวัยเจริญพันธุ์ โดยสามารถปล่อยไข่ที่สุกจากรังไข่ เอื้อต่อกระบวนการปฏิสนธิ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับตัวอ่อนในระหว่างการตั้งครรภ์

ทางเดินสืบพันธุ์ของสตรีประกอบด้วยอวัยวะสืบพันธุ์ภายในที่เชื่อมต่อกัน ได้แก่ ช่องคลอด มดลูก และท่อนำไข่ ซึ่งอวัยวะเหล่านี้มีโอกาสติดเชื้อได้ ช่องคลอดเป็นอวัยวะสำคัญในการมีเพศสัมพันธ์ โดยเชื่อมต่อกับมดลูกที่บริเวณปากมดลูก  มดลูก (หรือ "ครรภ์") รองรับตัวอ่อนโดยสร้างเยื่อบุมดลูกขึ้นมา

มดลูกยังสร้างสารคัดหลั่งที่ช่วยในการเคลื่อนที่ของสเปิร์มไปยังท่อนำไข่ ซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดกระบวนการปฏิสนธิกับไข่ ในระหว่างรอบเดือน รังไข่จะปล่อยไข่ ซึ่งจะเคลื่อนผ่านท่อนำไข่เข้าสู่มดลูก หากไข่พบกับสเปิร์มระหว่างการเดินทาง สเปิร์ม 1 ตัวสามารถรวมกับไข่และก่อให้เกิดไซโกต อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการปฏิสนธิ กระบวนการมีประจำเดือนจะเกิดขึ้น โดยเป็นการขับเยื่อบุมดลูกออกจากร่างกายในรูปของเลือด เมือก และเนื้อเยื่อ

การปฏิสนธิโดยทั่วไปเกิดขึ้นภายในท่อนำไข่ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการเจริญของตัวอ่อน ไซโกตมีการแบ่งเซลล์เป็นลำดับอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งกลายเป็นบลาสโตซิสต์และฝังตัวเข้ากับผนังมดลูก กระบวนการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของระยะตั้งครรภ์ โดยตัวอ่อนจะพัฒนาและเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องจนครบกำหนด เมื่อทารกในครรภ์มีพัฒนาการสมบูรณ์และพร้อมสำหรับการดำรงชีวิตภายนอกมดลูก ปากมดลูกจะเกิดการขยายตัว ขณะที่การหดรัดตัวของมดลูกส่งผลให้ทารกถูกขับออกผ่านช่องคลอด กลายเป็นทารกแรกเกิด แม้ว่าเต้านมจะไม่จัดเป็นอวัยวะของระบบสืบพันธุ์โดยตรง แต่ต่อมน้ำนมมีบทบาทสำคัญในกระบวนการให้สารอาหารแก่ทารกในอดีต ก่อนที่จะมีการพัฒนาสูตรนมผงสำหรับทารกในยุคปัจจุบัน

เมื่อสตรีเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน กระบวนการมีประจำเดือนจะสิ้นสุดลง โดยที่รังไข่จะหยุดการปล่อยไข่ และมดลูกจะยุติการเตรียมสภาพแวดล้อมเพื่อรองรับการตั้งครรภ์

อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก หรือที่เรียกว่า โยนี ประกอบด้วยแคมใหญ่ แคมเล็ก คลิตอริส (Clitoris) และบริเวณปากช่องคลอด (vestibule) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง อวัยวะที่มีหน้าที่คล้ายคลึงกันในเพศชายคือระบบสืบพันธุ์เพศชาย

อวัยวะเพศภายนอกของสตรี 

  • โยนี

โยนี หมายถึงกลุ่มอวัยวะและเนื้อเยื่อภายนอกทั้งหมดที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบสืบพันธุ์ของสตรี ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้:

    • คลิตอริส อวัยวะที่อยู่บริเวณส่วนบนสุดของโยนี ประกอบด้วยตัวอวัยวะหลักและตุ่มปลายยอดที่มีลักษณะคล้ายเมล็ดถั่ว ซึ่งปกคลุมด้วยฝาครอบคลิตอริส (Clitoral hood) เนื้อเยื่อคอร์ปุส คาเวอร์โนซุม (corpora cavernosa) เป็นเนื้อเยื่อของคลิตอริส ซึ่งทำหน้าที่ช่วยในกระบวนการแข็งตัวโดยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดเข้าสู่เนื้อเยื่อในช่วงที่มีการกระตุ้นทางเพศ
    • แคม (Labia): รอยพับของผิวหนังในแนวตั้ง 2 ประเภท ได้แก่ แคมใหญ่ (Labia majora) ซึ่งเป็นรอยพับชั้นนอกที่มีขนาดใหญ่และหนา ทำหน้าที่ปกป้องโครงสร้างอื่น ๆ ของโยนี และแคมเล็ก (Labia minora) ซึ่งเป็นรอยพับชั้นในที่บางและเล็ก ทำหน้าที่ช่วยปกป้องบริเวณปากช่องคลอด (Vestibule) จากความแห้ง การติดเชื้อ และการระคายเคือง
    • เนินหัวหน่าว (Mons pubis) หมายถึงก้อนเนื้อเยื่อไขมันที่อยู่เหนือกระดูกหัวหน่าว ซึ่งทำหน้าที่รองรับและปกป้องบริเวณดังกล่าว อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่มีขนหัวหน่าวขึ้นปกคลุม
    • บริเวณปากช่องคลอด (Vulval vestibule): พื้นที่รูปทรงคล้ายเมล็ดอัลมอนด์ที่อยู่ระหว่างแคมเล็ก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีรูเปิดของระบบสืบพันธุ์และระบบขับถ่าย
    • ท่อปัสสาวะ (Urinary meatus): ช่องเปิดของท่อปัสสาวะ ซึ่งเป็นทางออกสำหรับการขับถ่ายปัสสาวะออกจากร่างกาย
    • ช่องเปิดช่องคลอด (Vaginal opening): ช่องทางเข้าสู่ช่องคลอด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบสืบพันธุ์ที่เชื่อมต่อกับมดลูกและมีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่ต่างๆ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การคลอดบุตรและการขับถ่ายของเหลวในร่างกาย
    • เยื่อพรหมจารี (Hymen) หมายถึง เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ปกคลุมบางส่วนของช่องเปิดช่องคลอด ซึ่งมีลักษณะและความหนาแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยทางชีวภาพและกายภาพ
    • ช่องเปิดของต่อมบริเวณปากช่องคลอด (Vestibular gland openings): ช่องเปิด 2 คู่ที่อยู่ในบริเวณปากช่องคลอด (vestibule) ซึ่งเป็นตำแหน่งของต่อมบาร์โทลิน (Bartholin's glands) และต่อมสกีน (Skene's glands) โดยต่อมเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการหลั่งสารคัดหลั่งเพื่อช่วยหล่อลื่นและรักษาสมดุลของสภาพแวดล้อมในบริเวณดังกล่าว

อวัยวะสืบพันธุ์ภายในของสตรี

  • ช่องคลอด

ช่องคลอด หมายถึงท่อที่ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเส้นใยและกล้ามเนื้อ (Fibromuscular) ซึ่งเชื่อมต่อจากภายนอกร่างกายไปยังปากมดลูก ในบริบทของการตั้งครรภ์ ช่องคลอดถูกเรียกว่า "ทางคลอด" (Birth canal) เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการคลอดบุตร นอกจากนี้ ช่องคลอดยังทำหน้าที่รองรับอวัยวะเพศชายระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ โดยในช่วงจุดสุดยอด อวัยวะเพศชายจะหลั่งน้ำอสุจิที่มีตัวอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด ซึ่งอาจนำไปสู่กระบวนการการปฏิสนธิกับเซลล์ไข่ (ovum)

  • ปากมดลูก

ปากมดลูก (Cervix) หมายถึงส่วนคอของมดลูก ซึ่งเป็นโครงสร้างส่วนล่างที่แคบและทำหน้าที่เชื่อมต่อกับช่องคลอดส่วนบน ปากมดลูกมีลักษณะเป็นทรงกระบอกหรือทรงกรวย และยื่นออกมาทางผนังด้านหน้าของช่องคลอดส่วนบน โดยสามารถมองเห็นได้เพียงครึ่งหนึ่งของความยาว ขณะที่ส่วนที่เหลืออยู่เหนือช่องคลอดจึงไม่สามารถมองเห็นได้ นอกจากนี้ ช่องคลอดยังมีกล้ามเนื้อชั้นนอกที่มีความหนา และเป็นทางผ่านที่ทารกคลอดออกมาระหว่างกระบวนการคลอด

  • มดลูก

มดลูก (Uterus) หรือที่เรียกว่า "ครรภ์" เป็นอวัยวะสืบพันธุ์ที่สำคัญของสตรี ทำหน้าที่ให้การปกป้องทางกายภาพ รวมถึงให้สารอาหารและกำจัดของเสียสำหรับตัวอ่อนที่กำลังพัฒนาในช่วงสัปดาห์ที่ 1–8 และทารกในครรภ์ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 9 จนถึงช่วงคลอด นอกจากนี้ การหดรัดตัวของผนังกล้ามเนื้อมดลูกยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนทารกออกจากร่างกายในระหว่างการคลอด

มดลูกมีเอ็นยึด 3 ชนิดที่ช่วยรักษาตำแหน่งของมดลูกและจำกัดการเคลื่อนไหว ได้แก่: 

    • เอ็นยูเทอโรแซครัล (Uterosacral ligaments): ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้มดลูกเคลื่อนที่ไปทางด้านล่างและด้านหน้า
    • เอ็นรอบ (Round ligaments): จำกัดการเคลื่อนที่ของมดลูกไปทางด้านหลัง
    • เอ็นคาร์ดินัล (Cardinal ligaments): ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้มดลูกเคลื่อนที่ไปทางด้านล่าง.

มดลูกเป็นอวัยวะที่มีลักษณะเป็นกล้ามเนื้อรูปร่างคล้ายลูกแพร์ มีหน้าที่สำคัญในการรับไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้วเพื่อฝังตัวในเยื่อบุโพรงมดลูก (endometrium) และรับสารอาหารจากหลอดเลือดที่พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับกระบวนการนี้ ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิจะเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อน ก่อนพัฒนาเป็นทารกในครรภ์และดำเนินกระบวนการตั้งครรภ์จนถึงการคลอด อย่างไรก็ตาม หากไข่ไม่ฝังตัวในผนังมดลูก ร่างกายจะเข้าสู่กระบวนการมีประจำเดือน

  • ท่อนำไข่

ท่อนำไข่ (Fallopian tubes) เป็นท่อ 2 ข้างที่เชื่อมต่อระหว่างรังไข่กับมดลูก เมื่อไข่เจริญเต็มที่ ผนังของฟอลลิเคิลและรังไข่จะแตกออก ส่งผลให้ไข่หลุดออกมาและเข้าสู่ท่อนำไข่ จากนั้นไข่จะเคลื่อนตัวไปยังมดลูก โดยการเคลื่อนไหวของขนเส้นเล็ก ๆ (cilia) บนเยื่อบุด้านในของท่อนำไข่ ซึ่งกระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวัน หากไข่ได้รับการปฏิสนธิขณะอยู่ในท่อนำไข่ เมื่อเดินทางถึงมดลูก ไข่จะฝังตัวในเยื่อบุโพรงมดลูก (endometrium) ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งครรภ์

  • รังไข่

รังไข่เป็นอวัยวะคู่ขนาดเล็กที่อยู่บริเวณใกล้กับผนังด้านข้างของโพรงเชิงกราน ทำหน้าที่สำคัญในการผลิตเซลล์ไข่ (ova) และหลั่งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ กระบวนการที่เซลล์ไข่ถูกปล่อยออกมาจากรังไข่เรียกว่า "การตกไข่" (Ovulation) ซึ่งเกิดขึ้นเป็นรอบระยะเวลาและมีผลต่อความยาวของรอบเดือน

หลังการตกไข่ เซลล์ไข่จะเคลื่อนผ่านท่อนำไข่ไปยังมดลูก หากเกิดการปฏิสนธิ มักจะเกิดขึ้นในท่อนำไข่ จากนั้นไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิจะฝังตัวในเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrium) ในระหว่างกระบวนการปฏิสนธิ เซลล์ไข่มีบทบาทสำคัญ โดยจะปล่อยโมเลกุลบางชนิดที่ช่วยนำทางตัวอสุจิ และทำให้พื้นผิวของเซลล์ไข่สามารถยึดติดกับตัวอสุจิได้ จากนั้นเซลล์ไข่จะดูดซับตัวอสุจิ และกระบวนการปฏิสนธิจะเริ่มขึ้น 

  • ต่อมบริเวณปากช่องคลอด

ต่อมบริเวณปากช่องคลอด หรือที่เรียกว่า ต่อมเสริมของสตรี (Female accessory glands) ประกอบด้วย ต่อมบาร์โทลิน (Bartholin's glands) ซึ่งมีหน้าที่ผลิตเมือกเหลวเพื่อช่วยหล่อลื่นช่องคลอด และต่อมสกีน (Skene's glands) ที่มีบทบาทในการหลั่งของเหลวและช่วยหล่อลื่นบริเวณท่อปัสสาวะ

หน้าที่

หน้าที่ของระบบสืบพันธุ์สตรี คือ การสร้างและให้กำเนิดบุตร 

หากไม่มีการปฏิสนธิ เซลล์ไข่จะเดินทางผ่านทางเดินระบบสืบพันธุ์ทั้งหมด ตั้งแต่ท่อนำไข่ไปจนถึงช่องคลอด และถูกขับออกจากร่างกายในรูปแบบของประจำเดือน. 

ทางเดินระบบสืบพันธุ์สามารถใช้เป็นช่องทางในการดำเนินกระบวนการทางการแพทย์แบบผ่านท่อสำหรับวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น การตรวจประเมินภาวะเจริญพันธุ์ (Fertiloscopy) ซึ่งช่วยตรวจความสามารถในการมีบุตร, การฉีดน้ำเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูก (Intrauterine insemination) ซึ่งเป็นวิธีช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์และการทำหมันผ่านผ่านท่อ (transluminal sterilization) ซึ่งเป็นกระบวนการป้องกันการตั้งครรภ์อย่างถาวร

เซลล์ไข่ (Oocytes) ที่อยู่ในฟอลลิเคิลเริ่มแรก (Primordial follicle) ของรังไข่อยู่ในระยะโพรเฟสที่หยุดการเจริญเติบโต (Non-growing prophase arrested state) อย่างไรก็ตาม เซลล์ไข่ยังคงมีความสามารถสูงในการซ่อมแซมความเสียหายของ DNA ผ่านกระบวนการจับคู่โฮโมโลกัส (Homologous recombinational repair) ซึ่งรวมถึงการซ่อมแซมความเสียหายแบบสายคู่ของ DNA (Double-strand breaks). ความสามารถนี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาความสมบูรณ์ของจีโนมและช่วยปกป้องสุขภาพของลูกหลาน

การพัฒนา

ลักษณะโครโมโซมเป็นตัวกำหนดเพศทางพันธุกรรมของทารกตั้งแต่การปฏิสนธิ โดยอาศัยคู่โครโมโซมลำดับที่ 23 ที่ได้รับสืบทอดมา ไข่ของมารดามีโครโมโซม X เสมอ ขณะที่อสุจิของบิดาจะมีโครโมโซม X หรือ Y ดังนั้นเพศของทารกจึงถูกกำหนดโดยโครโมโซมจากบิดา 

  • หากทารกได้รับโครโมโซม X จากบิดา ทารกจะเป็นเพศหญิง ในกรณีนี้ ร่างกายจะไม่สร้างฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ส่งผลให้ท่อวูลฟ์ฟิอัน (Wolffian duct) เสื่อมสลาย และท่อมุลเลอเรียน (Müllerian duct) พัฒนาเป็นอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง โดยคลิตอริสเป็นโครงสร้างที่เหลือจากท่อวูลฟ์ฟิอัน.
  • ในทางกลับกัน หากทารกได้รับโครโมโซม Y จากบิดา ทารกจะเป็นเพศชาย การมีอยู่ของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะกระตุ้นท่อวูลฟ์ฟิอันให้พัฒนาเป็นอวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย ขณะที่ท่อมุลเลอเรียนจะเสื่อมสลาย.

ความสำคัญทางคลินิก

  • ภาวะช่องคลอดอักเสบ

ภาวะช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis) คือการอักเสบของช่องคลอด ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อ และเป็นหนึ่งในภาวะที่พบได้บ่อยที่สุดในโรคทางนรีเวช (Gynecological conditions) การระบุชนิดของเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของภาวะนี้เป็นเรื่องซับซ้อน เนื่องจากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ กิจกรรมทางเพศ และวิธีการตรวจหาเชื้อจุลชีพ (Microbial identification) 

ภาวะช่องคลอดอักเสบไม่จำเป็นต้องเกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted infection) เสมอไป เนื่องจากมีเชื้อก่อโรคอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ใกล้เยื่อเมือกและสารคัดหลั่ง ซึ่งสามารถเป็นสาเหตุของการอักเสบได้  โดยทั่วไป การวินิจฉัยภาวะนี้มักพิจารณาจากสารคัดหลั่งที่ออกมาจากช่องคลอด (Vaginal discharge) ซึ่งอาจมีความแตกต่างในสี กลิ่น หรือคุณสมบัติเฉพาะ 

  • ภาวะเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดผิดสมดุล

ภาวะนี้เป็นการติดเชื้อในช่องคลอดของสตรี ซึ่งแตกต่างจากภาวะช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis) เนื่องจากไม่มีการอักเสบเกิดขึ้น  ภาวะนี้มีลักษณะเป็นภาวะหลายเชื้อจุลชีพ (Polymicrobial) โดยประกอบด้วยแบคทีเรียหลายชนิด

การวินิจฉัยภาวะนี้ จะทำเมื่อมีอาการที่ตรงกับ 3 ใน 4 ข้อ ดังต่อไปนี้: 

    1. มีสารคัดหลั่งที่มีลักษณะบางและสม่ำเสมอ
    2. ค่า pH ในช่องคลอดสูงถึง 4.5
    3. พบเซลล์เยื่อบุผิวในช่องคลอดที่มีแบคทีเรียเกาะอยู่
    4. มีกลิ่นคาวปลา

นอกจากนี้ ภาวะนี้ยังเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการติดเชื้อในทางเดินระบบสืบพันธุ์อื่น ๆ เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ (Endometritis) 

  • ภาวะเชื้อราที่ช่องคลอด

ภาวะนี้เป็นสาเหตุทั่วไปของการระคายเคืองในช่องคลอด โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention) ระบุว่า ผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ประมาณ 75% เคยประสบกับภาวะนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต 

ภาวะเชื้อราที่ช่องคลอดเกิดจากเชื้อรา Candida ที่เจริญเติบโตมากเกินไปในช่องคลอด โดยทั่วไปเกิดจากความไม่สมดุลของค่า pH ในช่องคลอดซึ่งปกติจะมีความเป็นกรด นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของโรค เช่น การตั้งครรภ์ โรคเบาหวาน ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง การสวมเสื้อผ้ารัดแน่น หรือการสวนล้างช่องคลอด

อาการของภาวะนี้ ได้แก่ อาการคัน แสบร้อน ระคายเคือง และตกขาว ซึ่งอาจมีลักษณะคล้ายนมสดจับตัวเป็นก้อน ผู้หญิงบางคนยังรายงานว่ามีอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์และขณะปัสสาวะ 

การวินิจฉัย สามารถทำได้โดยนำตัวอย่างสารคัดหลั่งจากช่องคลอดมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อค้นหาเชื้อรา

การรักษา มีหลายแนวทาง ตั้งแต่การใช้ครีมทาภายในหรือรอบ ๆ ช่องคลอด ไปจนถึงยาเม็ดรับประทานที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา 

  • การทำร้ายบริเวณอวัยวะเพศหญิง

การทำร้ายบริเวณอวัยวะเพศหญิง (Genital mutilation) เป็นพิธีปฏิบัติที่มีอยู่ในบางวัฒนธรรม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงหรือทำลายเนื้อเยื่ออวัยวะเพศหญิงโดยไม่ได้มีเหตุผลทางการแพทย์ รูปแบบที่พบมากที่สุด 2 ประเภท ได้แก่

    • การขลิบคลิตอริส (Clitoridectomy) ซึ่งเป็นกระบวนการตัดคลิตอริสออก
    • การตัดหนังหุ้มปลายคลิตอริต (Excision of the clitoral prepuce)

พิธีกรรมเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง รวมถึงภาวะเลือดออก ความเสียหายของเนื้อเยื่อที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้ และภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ซึ่งในบางกรณีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

  • การผ่าตัดบริเวณอวัยวะเพศ

การผ่าตัดบริเวณอวัยวะเพศ (Genitoplasty) หมายถึง กระบวนการทางศัลยกรรมที่ใช้แก้ไขหรือฟื้นฟูอวัยวะเพศที่ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดจากโรคมะเร็งหรือการรักษามะเร็ง

นอกจากนี้ ยังมีการผ่าตัดที่เลือกทำ (Elective surgical procedures) ซึ่งเป็นกระบวนการศัลยกรรมเพื่อปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของอวัยวะเพศภายนอกตามความต้องการของบุคคล 

  • การคุมกำเนิด

ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน (Oral contraception) ไม่เพียงแต่ใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ แต่ยังมีบทบาทในการจัดการกับปัญหาสุขภาพบางประการ เช่น ภาวะประจำเดือนมามาก (Menorrhagia) อย่างไรก็ตาม ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทานอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลายรูปแบบ รวมถึงอาการซึมเศร้า 

สิทธิการเจริญพันธุ์ 

สหพันธ์นานาชาติสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา (The International Federation of Gynecology and Obstetrics) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497) เพื่อส่งเสริมสุขภาวะของสตรี โดยมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานในการปฏิบัติและการดูแลด้านสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ทั้งนี้ จนถึงปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) มีประเทศที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกทั้งหมด 124 ประเทศ

สิทธิการเจริญพันธุ์ หมายถึง สิทธิตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเจริญพันธุ์และสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์  ซึ่งสตรีมีสิทธิในการควบคุมเรื่องที่เกี่ยวข้องกับร่างกายของตนเอง รวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศและการสืบพันธุ์

การละเมิดสิทธิการเจริญพันธุ์ รวมถึงการบังคับให้ตั้งครรภ์ การบังคับให้ทำหมัน การบังคับให้ทำแท้ง และการขริบอวัยวะเพศหญิง

การขริบอวัยวะเพศหญิง หมายถึง การตัดหรือการนำอวัยวะเพศภายนอกของสตรีออกบางส่วนหรือทั้งหมด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจของผู้หญิง

ประวัติศาสตร์ของความเข้าใจเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์

ในงานเขียนของฮิปโปเครตีสมีการกล่าวว่า ทั้งชายและหญิงต่างมีส่วนร่วมในการสร้าง "เมล็ดพันธุ์" ที่นำไปสู่การตั้งครรภ์ โดยให้เหตุผลว่า หากไม่มีส่วนร่วมจากทั้งสองฝ่าย เด็กจะไม่สามารถมีลักษณะคล้ายคลึงกับบิดาหรือมารดาได้

สี่ร้อยปีต่อมา กาเลน (Galen) ได้ให้ข้อสังเกตว่า แหล่งที่มาของ "น้ำเชื้อเพศหญิง" อยู่ที่รังไข่ในอวัยวะสืบพันธุ์ของสตรี ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ก้าวหน้าต่อระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์ในยุคนั้น/

แปลและเรียบเรียงจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Female_reproductive_system [2025, September 11] โดร ชฎาวีณ์ ไชยภูริบริพัฒน์

อ่านตรวจทาน โดย ศ. คลินิก นพ. พนัส เฉลิมแสนยากร