เหงือกอักเสบ (Gingivitis)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
 - 27 มีนาคม 2565
 - Tweet
 
สารบัญ
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
 - เหงือกอักเสบมีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?
 - เหงือกอักเสบมีอาการอย่างไร?
 - เมื่อไหร่ควรพบทันตแพทย์?
 - ทันตแพทย์วินิจฉัยเหงือกอักเสบอย่างไร?
 - รักษาเหงือกอักเสบได้อย่างไร?
 - เหงือกอักเสบมีผลข้างเคียงอย่างไร?
 - เหงือกอักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
 - ดูแลตนเองอย่างไร?
 - พบทันตแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
 - ป้องกันเหงือกอักเสบได้อย่างไร?
 - บรรณานุกรม
 
บทความที่เกี่ยวข้อง
- โรคติดเชื้อ ภาวะติดเชื้อ (Infectious disease)
 - ฟันผุ (Dental caries)
 - แบคทีเรีย: โรคจากแบคทีเรีย (Bacterial infection)
 - เชื้อรา โรคเชื้อรา (Fungal infection)
 - วิธีแปรงฟัน (Brushing teeth)
 - น้ำยาบ้วนปาก ยาบ้วนปาก (Gargle)
 - เบาหวาน (Diabetes mellitus)
 - ยาลดความดัน ยาลดความดันเลือดสูง ยาลดความดันโลหิตสูง (Antihypertensive drug)
 - ยาขับปัสสาวะ (Diuretics Drugs)
 
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
เหงือกอักเสบ (Gingivitis) คือ การอักเสบของเยื่อบุผิวชั้นที่เป็นเนื้อเยื่อเมือกของเหงือก มักเป็นการอักเสบของเหงือกในส่วนที่ติดกับฟันที่เรียกว่า คอฟันและส่วนที่เป็นเบ้าฟัน(Tooth socket, เหงือกส่วนที่เป็นที่ฝังอยู่ของฟัน)
เหงือกอักเสบ เป็นอาการในระยะเริ่มต้นของโรคปริทันต์(โรคเหงือกอักเสบติดเชื้อแบคทีเรียขั้นรุนแรงที่เกิดกับเนื้อเยื่อเหงือกชั้นอยู่ลึกคือชั้นที่ยึดติดกับรากฟันและกับกระดูกส่วนรากฟันที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบรุนแรงจนอาจทำให้เกิดฟันหลุดออกมาได้) ถ้าได้ รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องเหงือกอักเสบจะหายได้ แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาหรือได้รับการรักษาไม่ถูกต้องการอักเสบติดเชื้อจะลุกลามไปเป็นโรคปริทันต์อักเสบ
เหงือกอักเสบ พบบ่อยและพบบ่อยทุกอายุตั้งแต่เด็ก(นิยามคำว่าเด็ก)จนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งผู้สูงอายุมักพบเหงือกอักเสบเรื้อรังบ่อยกว่าวัยอื่น เพศชายพบบ่อยกว่าเพศหญิงจากที่มักดูแลช่องปากได้ไม่ดีเท่าและจากดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่มากกว่าในเพศหญิงมาก แต่ในสตรีตั้งครรภ์จะพบเหงือกอักเสบได้สูงและมักรุนแรงกว่าภาวะปกติจากพฤติกรรมกินจุบจิบร่วมกับผลจากฮอร์โมนเพศที่ทำให้เหงือกติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
เหงือกอักเสบมีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?

สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของเหงือกอักเสบ:
ก. ที่เป็นสาเหตุหลัก: คือ
- ภาวะเกิดคราบหินปูนจากน้ำลายที่จับอยู่กับเหงือกส่วนที่หุ้มฟันไว้ร่วมกับมีการเกาะอาศัยของแบคทีเรียที่คราบหินปูนนั้นที่เรียกว่า “Biofilm หรือ Plaque” ซึ่งกลไกนี้มีสาเหตุหลักที่มักเกิดจากการขาดสุขอนามัยที่ดีของช่องปาก เช่น
- ไม่แปรงฟันทุกวัน หรือ แปรงฟันเพียงวันละ1ครั้ง
 - ไม่แปรงฟันก่อนเข้านอน
 - รวมไปถึงการไม่รู้จักใช้ไหมขัดฟัน
 
 
ข. สาเหตุ/ปัจจัยอื่น: เช่น
- สูบบุหรี่, ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ใช้ยาเสพติด, เนื่องจากกลุ่มบุคคลเหล่านี้มักขาดสุข อนามัยของช่องปาก
 - มีฟันผุ
 - โรคเชื้อราช่องปาก
 - มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำจึงมีการติดเชื้อที่เหงือกและในช่องปากได้ง่ายเช่น ผู้ป่วยโรค มะเร็ง ผู้ป่วยเอชไอวี/HIV
 - น้ำลายแห้ง/ ปากคอแห้ง เชื้อโรคจึงสะสมที่เหงือกได้แน่นนาน ซึ่งน้ำลายแห้งอาจมีสาเหตุจาก
- โรคประจำตัว เช่น โรคของต่อมน้ำลาย หรือโรคเบาหวาน
 - หรือจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิต, ยาแก้แพ้, ยาขับปัสสาวะ
 
 - ภาวะขาดสารอาหารจึงส่งผลให้เนื้อเยื่อต่างๆของร่างกายรวมถึงเหงือกไม่แข็งแรง จึงติดเชื้อได้ง่ายโดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย
 - ภาวะเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ เช่น ในช่วงตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดมีปริมาณฮอร์โมนฯสูงเพราะฮอร์โมนเพศจะกระตุ้นให้เนื้อเยื่อเหงือกติดเชื้อแบคทีเรียและโรคเชื้อราได้ง่าย
 - ใส่ฟันปลอมเพราะเหงือกจะถูกเสียดสีตลอดเวลาจึงเกิดอักเสบได้ง่าย
 - ผู้สูงอายุเพราะมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ, มักดูแลตนเองได้ไม่ดีพอ, มีปัญหาทางเศรษฐกิจจึงมักขาดสารอาหาร, มีโรคประจำตัว, และกินยาต่างๆหลายชนิดที่ส่งผลถึงอนามัยช่องปาก
 
เหงือกอักเสบมีอาการอย่างไร?
เหงือกอักเสบเกิดที่ตำแหน่งใดของเหงือกก็ได้ อาจเกิดได้พร้อมกันหลายตำแหน่งหรือเกิดได้พร้อมกันทั้งช่องปาก โดยมีอาการที่พบบ่อย ได้แก่
- เหงือกบวมมีสีแดงสดหรือสีแดงคล้ำ และมีลักษณะนุ่มคล้ายฟองน้ำ (เหงือกปกติจะมีสีชมพูแข็งและมีผิวเรียบมัน)
 - เจ็บหรือกดเจ็บตรงตำแหน่งที่อักเสบ
 - อาจร่วมกับมีเหงือกร่นจนเห็นรากฟัน
 - เมื่อแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันหรือกินอาหารแข็งเลือดจะออกจากตำแหน่งที่อักเสบได้ง่าย
 - อาจมีร่องระหว่างเหงือกและฟันร่วมกับมีหนองเกิดขึ้นในร่องนั้น
 - มักร่วมกับมีกลิ่นปาก
 - อาจมีต่อมน้ำเหลืองที่ใต้คางด้านเหงือกอักเสบ บวม/โต คลำได้และเจ็บ
 
เมื่อไหร่ควรพบทันตแพทย์?
เมื่อมีอาการดังกล่าวในหัวข้อ อาการ และอาการไม่ดีขึ้นภายใน 3 - 4วันหลังดูแลตนเอง ควรพบทันตแพทย์/แพทย์เสมอ แต่ถ้าเหงือกเป็นหนองหรืออาการต่างๆเลวลงควรรีบพบทันตแพทย์/แพทย์ไม่ต้องรอ
อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปควรพบทันตแพทยเป็นประจำสม่ำเสมอทุก 6 เดือนหรือตามทันต แพทย์นัดเพื่อการดูแลช่องปาก เพราะบ่อยครั้งอาการเริ่มแรกของเหงือกอักเสบและฟันผุไม่มีอาการแต่ทันตแพทย์สามารถตรวจพบได้ ซึ่งจะทำให้ได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆก่อนที่จะกลายเป็นปริทันต์อักเสบ
ทั้งนี้ควรเริ่มการดูแลช่องปากและฟันจากทันตแพทย์ตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก ซึ่งสภาทันตกรรมเด็กแห่งสหรัฐอเมริกา และสมาคมทันตแพทย์(The American Academy of Pediatric Dentistry และ The American Dental Association) มีความเห็นว่าควรนำเด็กพบทันตแพทย์ครั้งแรกเริ่มเมื่อเด็กอายุ 1 ปี หรือ ภายใน6เดือนนับจากฟันเริ่มขึ้น
ทันตแพทย์วินิจฉัยเหงือกอักเสบอย่างไร?
ทันตแพทย์วินิจฉัยเหงือกอักเสบได้จากลักษณะทางคลินิกคือ
- วินิจฉัยจากประวัติอาการ และการตรวจดูเหงือกด้วยตาและด้วยการคลำเหงือก อาจร่วมกับการคลำต่อมน้ำเหลืองใต้คาง ทั้งนี้การวินิจฉัยไม่จำเป็นต้องมีการสืบค้นเพิ่มเติมด้วยการตรวจเลือดหรือเอกซเรย์ภาพฟัน
 
รักษาเหงือกอักเสบได้อย่างไร?
แนวทางการรักษาเหงือกอักเสบ คือ
- กำจัดคราบ Biofilm ที่เป็นแหล่งเชื้อโรคด้วยการรับการขูดหินปูนจากทันตแพทย์ทุก 6 เดือนหรือตามทันตแพทย์แนะนะ
 - การใช้ยาปฏิชีวนะอาจเป็นยากินและ/หรือน้ำยาบ้วนปากขึ้นกับความรุนแรงของการติดเชื้อ
 - การรักษาความสะอาดช่องปากด้วยการแปรงฟันวันละ 2 ครั้งในตอนเช้าหลังตื่นนอนและตอนกลางคืนก่อนนอน ร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยก่อนแปรงฟันก่อนนอนหรือหลัง อาหารทุกมื้อหลัก
 - กินยาแก้ปวด Paracetamol กรณีเจ็บ/ปวดเหงือกมาก
 
เหงือกอักเสบมีผลข้างเคียงอย่างไร?
ผลข้างเคียงจากเหงือกอักเสบคือ ถ้าไม่รักษา การอักเสบติดเชื้ออาจรุนแรงจนเกิดเป็นหนองหรือเป็นเหงือกอักเสบเรื้อรังที่เรียกว่า ปริทันต์อักเสบ/โรคปริทันต์ ที่การอักเสบอาจลุกลามเข้าเนื้อเยื่อส่วนลึกของเหงือกและของรากฟันจนอาจส่งผลให้เกิดฟันหลุดออกมาเองได้
อนึ่งในกรณีที่เหงือกอักเสบเรื้อรังจนกลายเป็นปริทันต์อักเสบ มีบางการศึกษารายงานว่า อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคหลอดเลือดสมอง/อัมพาต หรือทำให้โรคเบาหวานรุนแรงขึ้น หรือในกรณีการตั้งครรภ์อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดเด็กคลอดโดยมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์หรืออาจคลอดก่อนกำหนด แต่ทั้งนี้ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนในเรื่องเหล่านี้
เหงือกอักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
การพยากรณ์โรคโดยทั่วไปถ้าได้รับการรักษาแต่เมื่อเริ่มเกิดอาการเหงือกอักเสบมีการพยากรณ์โรคที่ดีรักษาได้หาย แต่มีโอกาสเกิดซ้ำได้ตามปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวในหัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง
ดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองเมื่อเหงือกอักเสบได้แก่
- ปฏิบัติตามทันตแพทย์แนะนำ
 - กินยาที่ทันตแพทย์สั่งให้ครบถ้วนถูกต้องไม่ขาดยา ไม่หยุดยาเองถึงแม้อาการจะหายเป็นปกติแล้ว
 - บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากตามทันตแพทย์แนะนำหรือบ้วนปากด้วยน้ำเกลือเจือจาง (น้ำ เกลือที่ใช้ในโรงพยาบาล/Normal saline ที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไปหรือผสมน้ำเกลือใช้เองโดยไม่ให้มีรสเค็มจัดเช่น เกลือทะเล ½ - 1 ช้อนชาละลายในน้ำสะอาด 1 แก้ว/ประมาณ 250 - 300 มิลลิลิตร) บ่อยๆ/ทุก 4 - 6 ชั่วโมงและหลังอาหารทุกครั้งจนกว่า เหงือกอักเสบจะหาย
 - รักษาสุขอนามัยช่องปากทุกวันตามทันตแพทย์แนะนำ ที่สำคัญคือแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง หลังตื่นนอนเช้าและก่อนเข้านอนกลางคืน ร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันก่อนการแปรงฟันก่อน เข้านอนและอาจทุกครั้งหลังกินอาหารมื้อหนักๆ
 - ควบคุมรักษาโรคประจำตัวต่างๆให้ได้ดี
 - กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน
 - กินอาหารอ่อน (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ com บทความเรื่อง ประเภทอาหารทางการ แพทย์) ช่วงเหงือกอักเสบจนมีอาการเจ็บเหงือก/เคี้ยวอาหารแข็งปกติไม่ได้
 - หยุดบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสารเสพติด
 - พบทันตแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามทันตแพทย์นัด
 
พบทันตแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
ควรพบทันตแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่อ
- อาการต่างๆแย่ลง เช่น หนองมากขึ้น ปวด/เจ็บเหงือกมากขึ้น เหงือกบวม หรือเลือด ออกจากเหงือกมากขึ้น
 - มีอาการใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่น อ้าปากไม่ได้ ฟันโยก
 - แพ้ยาที่ทันตแพทย์/แพทย์สั่งเช่น ขึ้นผื่น เป็นไข้ ท้องเสียมาก
 - เมื่อกังวลในอาการ
 
ป้องกันเหงือกอักเสบได้อย่างไร?
วิธีป้องกันเหงือกอักเสบที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ การรักษาสุขอนามัยช่องปากด้วยการแปรงฟันวันละ 2 ครั้งเมื่อตื่นนอนเช้าและก่อนเข้านอนกลางคืน ร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันก่อนแปรงฟันก่อนเข้านอนและอาจใช้ไหมขัดฟันทุกครั้งหลังอาหารมื้อใหญ่
นอกจากนั้นการดูแลสุขอนามัยช่องปากยังประกอบด้วย
- ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้ยาเสพติด
 - กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน
 - ป้องกันควบคุมรักษาโรคประจำตัวให้ได้ดี
 - พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือนหรือบ่อยตามทันตแพทย์นัด
 
บรรณานุกรม
- Idrees,M. et al(2014). Saudi Med J.35,1373-13 [2022,March26]
 - https://emedicine.medscape.com/article/763801-overview#showall [2022,March26]
 - https://en.wikipedia.org/wiki/Gingivitis [2022,March26]
 - https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK279593/ [2022,March26]
 - https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK557422/ [2022,March26]
 - https://www.nycpediatricdentist.com/preventing-and-treating-gingivitis-gum-disease-in-children/ [2022,March26]
 - https://www.dentalfearcentral.org/faq/healing/ [2022,March26]
 - https://www.aapd.org/assets/1/7/DentalHomeNeverTooEarly.pdf [2022,March26]